วันที่ 7 พ.ค. ที่ผ่านมา ยานสำรวจพื้นผิวดาวอังคาร ‘Curiosity’ ขององค์การนาซา ได้ส่งภาพถ่ายภาพหนึ่งกลับมายังศูนย์ควบคุมบนพื้นโลก ซึ่งเรียกความสนใจได้จากคนจำนวนมาก

ภาพถ่ายดังกล่าวเป็นภาพขาวดำ แสดงให้เห็นช่องหินในภูเขาบนดาวอังคาร ที่มีลักษณะตัดตรงคล้ายกับประตูและทางเข้าอาคาร เส้นตัดและพื้นผิวที่ดูเรียบกริบ ชวนให้จินตนาการว่า ไม่น่าจะเป็นสิ่งที่เกิดจากการกระทำของธรรมชาติ

ในขณะที่นักนิยมแนวคิดว่า มีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่บนดาวอังคาร ชี้ว่าภาพถ่ายนี้คือหลักฐานของการก่อสร้างอาคารหรือสถาปัตยกรรม ซึ่งแสดงให้เห็นว่ามีสิ่งมีชีวิตอยู่บนดาวดวงนั้น แต่ก็โดนทีมนักวิทยาศาสตร์รีบออกมาติติงว่า เป็นเพียงรูปแบบตามธรรมชาติของลักษณะทางธรณีวิทยาบนดาวอังคารเท่านั้น 

ช่องแตกขนาดใหญ่ทางซ้ายของ ‘ทางเข้าประตู’ แสดงให้เห็นรอยแตกของหินที่มีขนาดเท่า ๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นทั่วไปบนดาวอังคาร นอกจากนี้ยังเห็นชิ้นส่วนของหิน ที่สันนิษฐานว่าร่วงลงมา เพราะรอยแตกอยู่ในบริเวณด้านหน้าของภาพถ่าย

‘ทางเข้าประตู’ บนดาวอังคาร เป็นเพียงช่องแตกของชั้นหินตามธรรมชาติ

สัญชีพ คุปตะ ศาสตราจารย์ด้านวิทยาศาสตร์พื้นผิวและส่วนประกอบของโลกแห่งวิทยาลัยอิมพีเรียล กรุงลอนดอน ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ร่วมโครงการสำรวจโดนยาน Curiosity ของนาซา กล่าวว่าช่องที่มีลักษณะคล้ายทางเข้าและประตูที่เราเห็นในภาพถ่ายนั้น เป็นเพียง ‘กระบวนการทางธรณีวิทยาตามปกติ’ 

พูดง่าย ๆ ก็คือรอยแยกในภาพคือสิ่งที่เกิดตามธรรมชาติ ไม่ใช่ฝีมือของมนุษย์ดาวอังคาร หรือสิ่งมีชีวิตที่อาศัยอยู่บนดาวอังคารเป็นผู้สร้างขึ้น

แต่นี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่ภาพถ่ายจากโครงการสำรวจของนาซา ก่อให้เกิดกระแสการคาดเดาไปว่า น่าจะมีมนุษย์หรือสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่บนดาวอังคาร 

ในปี ค.ศ. 1977 ยาน Viking 1 ของนาซา บันทึกภาพถ่ายพื้นผิวดาวอังคารที่มีลักษณะคล้ายใบหน้าคนอยู่บนพื้นผิวของดาวอังคาร ซึ่งทำให้เกิดข้อสันนิษฐานคาดเดาไปต่าง ๆ รวมถึงทฤษฎีที่อ้างว่า ใบหน้าดังกล่าวคืออนุสาวรีย์ที่ชาวดาวอังคารสร้างขึ้นในลักษณะเช่นเดียวกันกับรูปสลักสฟิงซ์ของชาวอียิปต์โบราณ

ภาพ ‘ใบหน้า’ บนดาวอังคาร ที่สร้างความฮือฮาในอดีต

ทว่า ในอีก 11 ปีต่อมา เมื่อนาซาส่งยานสำรวจ ‘Mars Global Surveyor’ ขึ้นไปและถ่ายภาพจากบริเวณเเดียวกันอีกครั้ง และจากคุณภาพของภาพถ่ายที่พัฒนาขึ้นไปมาก ทำให้เห็นได้ชัดว่าภาพ ‘ใบหน้า’ ที่เคยฮือฮากันนั้น เป็นเพียงก้อนหินธรรมดาที่โดนแสงเงาตกกระทบจนทำให้ดูเหมือนเป็นภาพใบหน้ามนุษย์

ในเดือน พ.ค. ปี 2558 ยานสำรวจ Curiosity บันทึกภาพ ‘พีระมิด’ ที่มีขนาดเท่ารถยนต์ขนาดเล็กได้ ซึ่งก็เช่นเคยที่มีกลุ่มผู้ฝักใฝ่ทฤษฎีมนุษย์ดาวอังคารเชื่อว่า นั่นคือยอดพีระมิดหรือสถานที่ฝังศพขนาดยักษ์เช่นเดียวกับที่มีบนพื้นโลก มิไยที่ทางนาซาจะชี้แจงว่า ก้อนหินที่ดูเหมือนพีระมิดขนาดย่อมนั้นไม่ใช่ของแปลก ก้อนหินในแถบพื้นที่ภูเขาไฟอย่างเช่น ฮาวาย หรือ ไอซ์แลนด์ ก็มีรูปแบบที่คล้ายคลึงกัน

อันที่จริงแล้ว การที่มีกลุ่มคนทึกทักว่า ภาพถ่ายจากดาวอังคารมีอะไรซ่อนอยู่มากกว่าเป็นเพียงภาพถ่ายของหินและดินธรรมดานั้น อาจไม่ได้เป็นเพียงเพราะเขาเหล่านั้นมีจินตนาการล้นเหลือ หรือคิดอะไรผิดเพี้ยนเพราะหมกมุ่นกับเรื่องมนุษย์ต่างดาว

ธรรมชาติของสมองของคนมักจะพยายามหาความหมายให้สิ่งที่ตามองเห็น และบางครั้งก็กลายเป็นสิ่งที่เรียกว่า ‘ปรากฏการณ์แพริโดเลีย’ (Pareidolia) ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ทางจิตวิทยาที่เชื่อมโยงระหว่างสิ่งที่ตาเห็นในธรรมชาติรอบตัว กับสิ่งที่มีความสำคัญต่อผู้มอง เช่น การมองเห็นภาพใบหน้าพระเยซูในต้นไม้ ภาพพระแม่มารีในขนมปัง เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม ก็ยังมีนักวิทยาศาสตร์จำนวนมากเชื่อว่า บนดาวอังคารน่าจะเคยมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ แต่ในสภาพปัจจุบันนี้คงเป็นไปได้ยาก เพราะลักษณะบรรยากาศบนดาวอังคารนั้นไม่เหมาะสมในการใช้ชีวิต นาซาองค์การอวกาศแห่งยุโรป จึงมีแผนการที่จะขุดเจาะพื้นผิวบนดาวอังคาร โดยหวังว่าอาจจะพบซากฟอสซิลของสิ่งมีชีวิตบนดวงดาวเพื่อนบ้านของเราสักวันหนึ่ง.

แหล่งข้อมูล : telegraph.co.uk

เครดิตภาพ : NASA/JPL