เฮกันถ้วนหน้า!! กับบรรดาเศรษฐีที่ดินทั้งหลาย หลัง พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ได้จดปากกา ให้เลื่อนการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างในปีนี้ ออกไปก่อนอีก 3 เดือน

เหตุปัจจัย!! ก็มาจากปัญหาสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด ทำให้เศรษฐกิจในภาพรวมของประเทศได้รับผลกระทบมาก ดังนั้น เพื่อเป็นการบรรเทาผลกระทบของประชาชนผู้เสียภาษี ให้มีเวลาชำระภาษีเพิ่มมากขึ้น

ก่อนหน้านี้บรรดาภาคเอกชนได้ยื่นหนังสือถึงกระทรวงการคลัง ขอให้เลื่อนและลดการจัดเก็บภาษีที่ดินฯ ออกไปก่อน เพื่อลดภาระประชาชน และผู้ประกอบการในช่วงที่ต้องเผชิญวิกฤติการแพร่ระบาดไวรัสโควิด และวิกฤติสงครามรัสเซียกับยูเครน

แต่ด้วยอำนาจการจัดเก็บภาษีที่ดินฯ เป็นหน้าที่ของท้องถิ่นโดยตรง ดังนั้นกระทรวงมหาดไทย จึงต้องรับบท “พระเอก” เพื่อดำเนินการ ที่สำคัญ!! เหตุผลในการเลื่อนการจัดเก็บครั้งนี้ ก็ฟังขึ้น และไม่สามารถปฏิเสธได้เช่นกัน

ด้วยเพราะประชาชนคนไทย ทั้งประเทศกำลังตกอยู่ในที่นั่งลำบาก จากปัญหาเศรษฐกิจที่รุมเร้า!! แถมยังประเดประดังเข้ามาแบบไม่ให้ตั้งตัวกันทีเดียว

การเลื่อนการจัดเก็บภาษีที่ดินฯ ในครั้งนี้ ถือว่าเป็นการเพิ่มเวลาหายใจหายคอให้กับเจ้าของที่ดิน แม้เป็นเวลาไม่มากมายนัก แต่ก็ยังดีกว่าที่ไม่ได้รับการผ่อนผันอะไรเลย

เป็นที่แน่นอนว่า!! รัฐบาลคงไม่กัดฟัน ลดอัตราภาษี หรือลดการจัดเก็บ 90% เหมือนกับช่วงปี 63 และ 64 แน่ ๆ เพราะหากลดการจัดเก็บให้อีก บรรดาท้องถิ่นจะยิ่งเดือดร้อนมากยิ่งขึ้น

อย่าลืมว่าการลดการจัดเก็บภาษีที่ดินฯ ให้ถึง 90% นั้น ก็ทำให้รายได้ของท้องถิ่นก็หายไปกว่าปีละกว่า 30,000 ล้านบาทเข้าไปแล้ว

แล้วการคาดหวังให้รัฐบาลยื่นมาเข้ามาช่วยเหลือ โดยจัดสรรเงินงบประมาณจากส่วนกลางมาเพิ่มเติมให้นั้น คงเป็นได้แค่ความฝัน เพราะรัฐบาลเอง ก็หมดหน้าตักที่จะจัดสรรเงินมาโอบอุ้มให้ได้

เพียงแค่…จะหารายได้มาปิดหีบงบประมาณให้ได้ตามที่กำหนด ก็แทบเอาตัวเองไม่รอดเช่นกัน ดังนั้นการกระเบียดกระเสียรเจียดงบประมาณมาช่วยเหลือ ก็คงลำบาก

ส่วนการหวังให้รัฐ “ปิดประตู” ยกเลิกการจัดเก็บภาษีไปเลย ยิ่งเป็นไปไม่ได้ กระทรวงการคลังยืนกรานหนักแน่น ว่าภาษีตัวนี้เป็นการสร้างความเป็นธรรมในสังคม!!

ที่สำคัญ!! ยิ่งกว่านั้น กว่าจะคลอดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างออกมาได้ ต้องใช้เวลานานนับสิบปี เพราะมีแรงต้านมหาศาลทีเดียว

แม้ทำคลอดออกมาได้สำเร็จ แต่ในความเป็นจริง บรรดาเศรษฐีที่ดิน ต่างแปรเปลี่ยนที่รกร้างว่างเปล่าของตัวเองไปเป็นสวนมะพร้าว สวนมะนาว สวนผัก สวนกล้วย สวนมะละกอ กันเป็นแถว

ทั้งหลายทั้งปวง ก็หวังลดภาระภาษีที่ดินฯ จาก 0.3% จากที่ต้องเสียในกรณีรกร้างว่างเปล่า เหลือเพียง 0.01% เรียกว่า เบาตัวได้ไม่น้อยเช่นกัน

การจัดเก็บภาษีที่ดินฯ ของรัฐบาลได้กำหนดอัตราเป็นขั้นบันไดของมูลค่าที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง และแยกประเภทที่ดินและสิ่งปลูกสร้างออกเป็น 3 ประเภท คือ ที่ดินเพื่อการเกษตร มีอัตราภาษีตั้งแต่ 0.01-0.1% โดยยกเว้นภาษีให้กับที่ดินเพื่อการเกษตรที่มีมูลค่าไม่เกิน 50 ล้านบาท

ที่ดินเพื่ออยู่อาศัย มีอัตราตั้งแต่ 0.02-0.1% กรณีมีชื่อเป็นเจ้าของและเป็นบ้านหลักมูลค่าไม่เกิน 50 ล้านบาท จะได้รับการยกเว้นการเสียภาษีที่ดิน และประเภทเพื่อการพาณิชย์ อุตสาหกรรม และที่รกร้างว่างเปล่า มีอัตราภาษีตั้งแต่ 0.3-0.7% เฉพาะที่ดินรกร้างว่างเปล่าจะถูกเก็บภาษีเพิ่มขึ้น 0.3% ในทุก ๆ 3 ปี

ที่สำคัญ!! หากใครบิดพลิ้วจ่ายภาษีไม่ตรงตามกำหนดก็ต้องเสียเบี้ยปรับ 10% ถ้ามาเสียก่อนได้รับหนังสือแจ้งเตือน แต่ถ้ามาจ่ายภาษีในระหว่างที่หนังสือแจ้งเตือนกำหนด ก็ต้องเสียเบี้ยปรับ 20% หากมาเสียหลังเวลาที่หนังสือแจ้งเตือนกำหนด ก็ต้องเสียเบี้ยปรับ 40% และยังต้องเสียเงินเพิ่มอีก 1% ต่อเดือน ของจำนวนภาษีที่ค้างชำระ

ไม่เพียงเท่านี้ ในระหว่างที่ยังไม่มีการเสียภาษีให้เรียบร้อย ก็ไม่สามารถจดทะเบียนสิทธิ โอนกรรมสิทธิ์ หรือสิทธิครอบครองในที่ดินและสิ่งปลูกสร้างได้

สุดท้าย!! หากมีภาษีค้างชำระ และหากพ้นกําหนด 90 วัน นับแต่วันที่ผู้ค้างชําระภาษีได้รับหนังสือแจ้งเตือน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสามารถยึด อายัด ที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่ค้างชำระภาษีไปขายทอดตลาดได้อีกต่างหาก

เอาเป็นว่า… อีก 3 เดือนข้างหน้า คงต้องมารอดูกันต่อไป หากเศรษฐกิจยังไม่พ้นพายุ รัฐบาลจะขยายเวลาออกไปอีกหรือเปล่า!!

……………………………………….
คอลัมน์ : เศรษฐกิจจานร้อน
โดย “ช่อชมพู”