โดย “ดร.เจษฎ์” เปิดประเด็นว่าสิ่งที่ต้องจับตาคือการหาเสียงผ่านช่องทางต่างๆ เสี่ยงผิดกฎหมายหรือไม่ เพราะนโยบายที่พูดไว้ จากนี้จะชัดเจนขึ้น เข้าข่าย “ให้” “สัญญาว่าจะให้” หรือถึงขั้น “เรียกรับ” แน่นอนว่าจะตามมาด้วยเรื่องร้องเรียน กล่าวหากันต่าง ๆ นานา โดยเฉพาะหลังการลงคะแนนเลือกตั้งล่วงหน้าวันที่ 7 พ.ค. เชื่อว่า จะชัดเจนขึ้น เริ่มมีการกล่าวหากัน กล่าวหากรรมการ กล่าวหาการจัดการเลือกตั้งไม่ดี ไม่ถูก ไม่อำนวยความสะดวก มีคนรู้ว่าใครกาเบอร์ไหน หรือมีใครกำหนดให้กา    

“การเมืองแบบเดิมก็ไม่ไปไหน เทียบกับ ละครน้ำเน่า ยุคนี้ยังมีทะเลาะกันเรื่องผัวผัวเมีย ๆ และที่เรื่องพวกนี้ยังคงติดตลาด ก็เพราะนิสัยคนเป็นอย่างนี้ ชอบแบบนี้ เพราะฉะนั้น การเมืองก็อยู่บนพื้นฐานนิสัยของคน เมื่อนิสัยคนเลือกยังเป็นแบบนี้ นิสัยคนลงสมัครก็ไม่ต่างกัน”

@ บรรยากาศแตกต่างกับปี 62 หรือไม่ที่มีการต่อต้านผู้นำบางพรรคการเมือง

มีความแตกต่างแต่อาจจะไม่ได้เข้มข้นเท่า เพราะปี 62 ฝ่ายที่ต่อต้าน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ต่อต้านแบบรุนแรงมาก พวกที่ต่อต้านนายทักษิณ ชินวัตร ก็ค่อนข้างมาก แยก 2 ฝั่งชัดเจน แต่ตอนนี้จะไม่เป็นแบบนั้นแล้ว คนต่อต้าน พล.อ.ประยุทธ์ ก็ทอนลง เพราะเขาเข้าสู่วงจรการเมืองมากขึ้น แต่คนที่เชียร์อยู่ก็ไม่ได้เชียร์แบบเดิม ส่วนคนที่เคยต่อต้านนายทักษิณก็ทอนลง ฉะนั้น บรรยากาศจะไม่รุนแรงเท่าปี 62 แต่การแข่งขันจะสูงขึ้น เพราะปี 62 เหมือนเป็นการแข่งขันของ 2 ฝ่าย แต่ตอนนี้มีอนุรักษนิยมเสรี เสรีนิยมอนุรักษ์ และมีพรรคที่พร้อมจะรวมข้ามฟาก เช่น เขาว่า พลังประชารัฐ จับมือ เพื่อไทย ภูมิใจไทย จะมีการแข่งขันมากขึ้น เพราะโอกาสและความเป็นไปได้ในการจัดตั้งรัฐบาลหลากหลายขึ้น

@ แสดงว่าวันนี้คนไทยเริ่มที่จะสลายขั้วในดวงใจบ้างแล้ว

สามารถพูดอย่างนั้นได้ว่ามีการสลายบ้างแล้ว แต่ขจัดไปเลยได้หรือไม่ ก็ตอบว่ายังไม่ได้ สำหรับบางคนสลายจนถึงขนาดว่า ไปเลือกคนอื่นแล้วจากเดิมที่เคยเลือกนายทักษิณ เคยเลือกพรรคเพื่อไทย ก็ไปเลือกคนอื่น เช่น ภูมิใจไทย หรือ ชาติพัฒนากล้า ส่วนคนที่บอกว่าถึงอย่างไรก็จะต้องเป็นประยุทธ์ อาจจะคิดว่าประชาธิปัตย์ ก็พอไหว ชาติไทยพัฒนาก็พอได้ แต่ถ้าจะขจัดไปเลย ก็คงยังมีอยู่ในบางจิตบางใจ คนอีกจำนวนหนึ่ง ก็ถือว่าลดทอนลง ถึงในระดับที่เรียกว่ามีนัยสำคัญ

ส่วนใหญ่เป็นคนอายุราวๆ 30-60 วัยทำมาหากิน เพราะต้องคำนึงถึงปากท้อง มีภาระต้องเลี้ยงดูพ่อ แม่ เลี้ยงลูก ก็จะคิดว่าถ้าไม่สลายขั้วในใจ อยากให้ประเทศแข็งตึง มีฝักฝ่าย แล้วบ้านเมืองได้อะไร เศรษฐกิจกระเตื้องขึ้นหรือไม่ เป็นต้น คนเหล่านี้ไม่อยากให้บ้านเมืองติดกับแบบเดิม ก็จะมองหาสูตรที่ทำให้บ้านเมืองก้าวออกมาได้ ไม่ยึดติดกับพรรค หรือคนแล้ว หรือไม่แต่บางพรรคเช่น ก้าวไกล บางคนอาจจะคิดว่าการแก้มาตรา 112 หรือแก้อะไรเอาไว้ก่อนได้ ขอเรื่องปากท้องก่อน   

@ มองว่าพรรคการเมืองไหนโดดเด่น

โดดเด่นในแต่ละกลุ่มของเขา เช่น เพื่อไทยจะโดดเด่นในกลุ่มคนที่เชื่อมั่นในวิถีทางการจัดวาง การขับเคลื่อนเศรษฐกิจของนายทักษิณ ก็เลือกพรรคที่มีนายทักษิณเป็นส่วนประกอบ กลุ่มที่ 2 ค่อนข้างโน้มเอียงมาทางทหาร เพราะเห็นว่าแม้เศรษฐกิจไม่ดี อาจจะมีความสงบที่คิดว่าทหารจะทำได้ กลุ่มนี้จะเป็นกลุ่มที่พอมีอันจะกิน ส่วนที่เลือกพรรคก้าวไกล จะเป็นคนที่อายุน้อย ไม่ค่อยพึงใจในระบบดั้งเดิมของบ้านเมือง นอกนั้นก็จะกระจาย ๆ ไป

“น่าจะ 40% ที่ไม่รู้จะเหวี่ยงไปทางไหน กลุ่มนี้จะมีเหตุผล ค่อย ๆ คิด ค่อย ๆ ดูนโยบาย ประมาณการณ์ว่าเสียงจะโน้มเอียงไปทางไหน แล้วควรจะปล่อยเสียงไปทางใดเพื่อที่บ้านเมืองจะเดินไปได้อย่างมีเสถียรภาพ จริง ๆ แรงเหวี่ยงมีทั้งเหวี่ยงหนักแบบเลือกขั้วตรงข้าม กับเหวี่ยงน้อยคือเลือกพรรคอื่นที่ยังมีอุดมการณ์เดียวกับพรรคที่เคยเลือก สัดส่วนครึ่ง ๆ”

บางคนอาจจะแบ่งคะแนนให้เลือกเขตของพรรคหนึ่ง และบัญชีรายชื่อของอีกพรรคหนึ่งก็ได้ ซึ่งคนที่เลือกในระบบกา 2 ครั้ง 70-80% ยังคงตัดสินใจไม่ได้ ก็จะให้ทั้ง 2 พรรค ซึ่งพื้นที่ที่น่าจับตาที่สุดทุกครั้ง คือ ภาคอีสาน เพราะคนเยอะ การแข่งขันสูง ถ้าไล่เรียง คือ อีสาน เหนือ กลางตะวันออก ตะวันตก และภาคใต้

@ จะทำอย่างไรกับเสียง ส.ว.ที่ยังก้าวไม่พ้นจะทำให้เกิดปัญหาในการจัดตั้งรัฐบาล

ถ้าจะแก้ปัญหาประเทศได้จริง ๆ ส.ว. มีอยู่ 2-3 ทาง คือ 1.ใครได้เสียงข้างมากในสภาล่างก็ต้องเลือกเขา 2.ฟรีโหวต ไม่ใช่บล็อกโหวต หรือตกลงกันว่าจะเลือกใคร เช่น ไม่เอาเพื่อไทย ถ้าเพื่อไทยแลนด์สไลด์มา ส.ว. ก็แลนสไลด์กลับ แบบนี้บ้านเมืองจะวุ่นวาย  

@ ที่มา สว.ก็รู้อยู่ใครเป็นคนตั้ง จะกล้าขัดขืนในการโหวตเลือกนายกฯ หรือไม่

เรื่องนี้ไม่ต้องใช้ความกล้า แต่ว่ากันว่า ส.ว. มีอยู่ 4 ส่วน ส่วนของ พล.อ.ประวิตร, พล.อ.ประยุทธ์, พล.อ.อนุพงษ์ และส่วนอื่น ๆ ซึ่งกระจัดกระจาย แต่ตอนนี้ไม่เป็นเอกภาพแล้ว ขึ้นอยู่กับว่าใครจะไปอยู่ที่ไหน สมมุติรวมไทยสร้างชาติ กับ พลังประชารัฐ อยู่คนละฝั่งกัน ส.ว.ก็อาจจะเลือกคนละฝั่ง แต่ว่ากันว่าน้ำหนักส่วนใหญ่อยู่ที่ พล.อ.ประวิตร ซึ่งเป็นคนนั่งหัวโต๊ะ

@ อยากฝากถึงทุกฝ่ายอย่างไรเพื่อให้การเลือกตั้งพาประเทศเดินหน้าต่อไปได้ไม่ต้องมีใครลงถนนอีก

ต้องเริ่มด้วยว่า เราต้องช่วยกันแก้ปัญหาทุจริตการเลือกตั้งให้ได้ ถ้าเขามาซื้อสิทธิ แล้วคุณขายเสียงให้ เท่ากับว่าจบสิ้นแล้ว เพราะสุดท้ายไม่ว่าได้ใครมาเขาก็มาเอาคืน เขาไม่ลงทุนโดยไม่หวังกำไรคืน และอย่า “เลือก” เพื่อให้อำนาจรัฐมาดูแล แต่เลือก เพื่อให้ผู้แทนมาทำงานให้ประชาชน.