แม้มีรายงานเบื้องต้นว่า นายอนุซาเสียชีวิต แต่ภายหลังปรากฏว่า เขารอดชีวิต และกำลังพักฟื้น อยู่ที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งในเมืองหลวง

นายอนุซา ซึ่งมีอายุเพียง 25 ปี เป็นตัวแทนของพลเมืองลาวรุ่นใหม่จำนวนไม่น้อย ซึ่งเริ่มพูดถึงการขาดเสรีภาพทางการเมืองของประเทศมากขึ้น แม้รัฐบาลพยายามเซ็นเซอร์สื่อสังคมออนไลน์ซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่การวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลบนโลกออนไลน์ กำลังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มเยาวชน

กระนั้น คนร้ายซึ่งพยายามลอบสังหารนายอนุซา และผู้อยู่เบื้องหลังยังคงลอยนวล โดยไม่มีการประกาศการสอบสวนจากตำรวจแต่อย่างใด ทั้งที่นายอนุซา และครอบครัวของเขา ควรได้รับการคุ้มครองอย่างยิ่ง

ลาวเป็นรัฐสังคมนิยมที่ไม่ยอมรับการพากษ์วิจารณ์ของสาธารณชนมานานแล้ว อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าประเทศแห่งนี้กำลังกลายเป็น “รัฐอาชญากร” มากขึ้นเรื่อย ๆ

เมื่อผู้วิจารณ์รัฐบาลถูกสังหาร หายตัวไป หรือถูกคุมขังในลาว มันคือสิ่งที่บ่งชี้ว่า รัฐบาลกำลังส่งสัญญาณเป็นนัยถึงประชาชนว่า พวกเขาจะไม่ทนต่อเสรีภาพในการแสดงออก ย้อนแย้งกับการที่พรรคประชาชนปฏิวัติลาว (แอลพีอาร์พี) กล่าวอ้างหลายครั้งหลายหนมาเป็นเวลานานว่า สันติภาพและเสถียรภาพสาธารณะ คือ “เสาหลักของความชอบธรรม”

รัฐบาลลาววางบทบาทของตัวเอง คือเครื่องหมายของธรรมาภิบาลทางการเมืองที่ดี ทว่าในความเป็นจริง เสถียรภาพกลับถูกรักษาผ่านความรุนแรงและการกดขี่ เพื่อป้องกันการคัดค้านทางการเมือง และคำวิพากษ์วิจารณ์ใด ๆ ต่อพรรคแอลพีอาร์พี

เมื่อความไม่เสมอภาค และผลกระทบที่เป็นอันตรายจากการจับกุมของชนชั้นนำเพิ่มขึ้น ตลอดจนการใช้ชีวิตของประชาชนที่ยากลำบากกว่าเดิม เพราะการบริหารจัดการเศรษฐกิจมหภาคผิดพลาด รัฐบาลจึงเพิ่มความถี่ มาที่การกดขี่และควบคุมทางการเมือง

อนึ่ง ลาวเคยได้รับการชื่นชม ว่าเป็นประเทศปลอดภัยและเป็นมิตรต่อการเยี่ยมเยือน การอยู่อาศัย และการทำงาน ซึ่งชาวลาวยังคงเป็นคนที่อบอุ่น และให้การต้อนรับนักท่องเที่ยวเหมือนอย่างเคย แต่ประเทศกลับเริ่มมีความปลอดภัยน้อยลงสำหรับพลเมือง ตลอดจนการท่องเที่ยวและการลงทุนจากต่างชาติ

เมื่อนักเคลื่อนไหวทางการเมืองชาวลาวไม่มีความปลอดภัย แม้พวกเขาจะอยู่ในไทย, เมื่อการลักลอบค้าเมทแอมเฟตามีนแบบผลึกใส พุ่งทะยานจน “การสกัดจับยาเสพติดครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์เอเชีย” เป็นสัดส่วนแค่ 1 ใน 3 ของการยึดครั้งใหญ่ในลาวเพียงสัปดาห์เดียว หรือเมื่อนักท่องเที่ยวชาวแคนาดาเสียชีวิต ใกล้จุดตรวจศุลกากรที่ท่าอากาศยานนานาชาติ สิ่งเหล่านี้ส่งผลให้ลาว ไม่อาจเป็นประเทศที่ปลอดภัยได้อีกต่อไป

ยิ่งไปกว่านั้น ความรุนแรงของรัฐยังคงพุ่งเป้าไปยังผู้ที่ถือว่าเป็นภัยคุกคามต่อรัฐบาล หรือผู้ที่มีถิ่นฐาน หรือกิจกรรมทำมาหากินขัดขวางการหาผลประโยชน์ของชนชั้นนำ ซึ่งในสายตาของประชาคมระหว่างประเทศ มันเห็นได้อย่างชัดเจนว่า “ผู้ที่มายังลาว ต้องรับผิดชอบความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นด้วยตัวเอง”.

เลนซ์ซูม

เครดิตภาพ : AFP