ตอกย้ำให้ชัด!! การเมือง…คือ เรื่องของ “ผลประโยชน์ หากลงตัวก็ฉลุย เห็นได้จากการลงคะแนนอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกฯ บิ๊กตู่ กับอีก 5 รมต. เมื่อวันเสาร์ที่ 4 ก.ย.ที่ผ่านมา

นั่นหมายความว่ารัฐบาลยังคงไปต่อ!! ได้ แต่จะปรับ ครม.หรือไม่? อย่างไร? คงได้เห็นกันต่อจากนี้ เพราะสถานการณ์การเมืองจะเริ่มรุนแรง ชัดเจน แน่นอน หลังจากก่อนหน้านี้อาการ “ร้าวฉาน” มีให้เห็นกันทุกวัน

แต่ที่ชัดเจน… คือคำกล่าวของ นายกฯ บิ๊กตู่ ที่บอกว่า “ผมจะปรับตัว” โดยเฉพาะการให้เวลา ให้โอกาส กับบรรดา ส.ส.ของพรรคพลังประชารัฐ ที่ไม่สามารถเข้าถึงตัวนายกฯ ได้

ในเชิง “การเมือง” ก็ว่ากันไป เพราะเป็น “วิถี” ที่ประชาชนคนไทย “เคยชิน” อยู่แล้ว หากสมประโยชน์กันถ้วนหน้า ทุกอย่างก็ราบรื่น ไม่มีเกี่ยงงอน ไม่มีตีรวน ยุคไหนยุคนั้น!! ไม่มีอะไรแตกต่าง

แต่ในแง่ “เศรษฐกิจ” แล้ว จะเอาไงต่อ!! นี่คือ คำถาม?

สะท้อนได้จากหลายภาคหลายธุรกิจ ที่ไม่ได้สนใจการอภิปราย ครั้งนี้เท่าใดนัก เพราะรู้อยู่แล้วว่า อย่างไรก็ “โหวต”ผ่าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของตลาดหุ้น ตลาดเงิน ภาคผลิต ภาคการค้า ภาคการท่องเที่ยว

ทุกภาค…ทุกเซกเตอร์… ยังคาดหวังไปในทิศทางเดียวกันว่า รัฐบาลจะสามารถฉีดวัคซีนให้กับประชาชนคนไทยได้ครบถ้วน ด้วยความหวังที่ว่า เศรษฐกิจจะได้เดินหน้าต่อ!!

แม้ว่าที่ผ่านมารัฐบาลได้คลายล็อกดาวน์ ได้เปิดเมือง และเดินหน้าเปิดประเทศได้อย่างแท้จริง แต่ปัจจัย “วัคซีน” ยังคงเป็นปัจจัยหลัก ที่บรรดาภาคเอกชนยังคง “เรียกร้องไม่จบ” โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มแรงงาน ที่เกี่ยวพันกับภาคผลิตที่เป็นเครื่องยนต์หลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ

“สุพันธุ์ มงคลสุธี” ประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย หรือ ส.อ.ท.ระบุไว้ชัดเจนว่า เอกชนน่ะ ห่วงเสถียรภาพเศรษฐกิจเหนืออื่นใด ส่วนเรื่องการเมืองเป็นไปตามครรลองปกติอยู่แล้ว

ในช่วงเวลาที่เหลือจากนี้ รัฐบาลจำเป็นอย่างยิ่ง ต้องกระจายวัคซีนให้ทั่วถึงโดยเร็ว ต้องกระตุ้นการบริโภค ต้องช่วยเหลือเอสเอ็มอี ให้กลับมาแข็งแรงให้ได้ในทุกทาง และที่สำคัญเหนืออื่นใด ต้องไม่มีการล็อกดาวน์ประเทศอีก

ไม่ได้แตกต่างอะไรกับผู้บริหารของ ค่ายยักษ์ใหญ่อสังหาริมทรัพย์ ที่มองในมุมเดียวกันว่าเรื่องของการเมืองไม่มีอะไรแตกต่างไปจากเดิม แต่สิ่งที่จะสร้างความเชื่อมั่นให้กับรัฐบาลได้มากขึ้น คือ เรื่องของแก้ปัญหาโควิด ที่ต้องเร่งฉีดวัคซีนให้ได้ปริมาณมาก

ที่สำคัญ…ต้องเร่งแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นอยู่ตรงหน้าให้หมดไปให้ได้ โดยเฉพาะการช่วยให้เอกชน ช่วยธุรกิจมีกระแสเงินสดในการดำเนินธุรกิจ ช่วยประคับประคองไม่ให้ตกงาน

เช่นเดียวกับ บรรดาภาคเอกชนด้านท่องเที่ยว ที่เป็นอีกหนึ่งเครื่องยนต์สำคัญของการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ที่ไม่ได้ “ให้ค่า” กับปัญหาการเมืองในเวลานี้ เพราะรู้อยู่แล้วว่า การเมืองก็คือ…เรื่องของผลประโยชน์

แต่ที่เอกชนอยากเห็นในเวลานี้ คือ จะมีข่าวดีอะไร? ที่เข้ามาเพื่อสนับสนุนให้การท่องเที่ยวฟื้นตัวขึ้นมาได้บ้าง แม้โครงการภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ ยังเดินหน้า สมุยพลัส ยังเดินหน้า แถมยังมีอีกสารพัดโครงการ อีกสารพัดพื้นที่ ที่เตรียมตัวเปิดต่ออีก ก็ตาม อย่ามามัวแต่ “ด้อยค่า” วัคซีน แต่รีบฉีดในส่วนที่เหลือให้ครบ ให้ได้มากที่สุด เพื่อเรียก “ความมั่นใจ” จะดีกว่า

แม้รัฐบาลจะรู้อยู่เต็มอก อยู่แล้ว ว่าต้องเดินหน้า ต้องจัดการอย่างไร แต่ปัญหาใหญ่… ก็คงหนีไม่พ้น ในเรื่องของการบริหารประโยชน์ทางการเมืองให้ลงตัว

ไม่เพียงเท่านี้ เรื่องของการ “หาเงิน” เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ต่อให้มีแหล่งเงินให้กู้เยอะแยะมากมาย แต่อย่าลืมว่า…นั่นคือ เงินกู้ ซึ่งก็หมายถึงหนี้ที่พอกพูนขึ้นทุกวัน

แม้ไม่ใช่เรื่องแปลก!!! เพราะเวลานี้จะหาเงิน จะหารายได้จากที่ไหน ในเมื่อเศรษฐกิจมันไม่ไป ก็ต้องกู้ ต่อให้ก็เท่ากับที่เอกชนเรียกร้องถึง 1.5 ล้านล้านบาทก็ตาม เพียงแต่กู้แล้ว ก็ต้องใช้ให้คุ้มค่า ให้เกิดประโยชน์กับเศรษฐกิจจริง ๆ ไม่ใช่เพื่อใส่ในกระเป๋าใคร

เพราะที่ผ่านมา ก็เห็นอยู่แล้วว่า การใช้เงินกู้ 1 ล้านล้านบาทก้อนแรกนั้นเป็นอย่างไร แถมยังมีเงินกู้ก้อนที่สอง อีก 5 แสนล้านบาท ที่ยังประเดิมใช้ได้ไม่เท่าไหร่

อย่างที่บอก… ถ้ากู้…..แล้วมาเพิ่มเงินในกระเป๋าของคนทั้งประเทศไม่ให้อดอยากปากแห้ง หรือไม่ต้องล้มหายตายจาก หรือไม่ต้องปิดกิจการ ก็เชื่อว่าแรงสะท้อนคงรับกันได้

แต่ถ้าไม่ใช่!!! ก็ไม่ต้องโทษใคร?

……………………………………….
คอลัมน์ : เศรษฐกิจจานร้อน
โดย “ช่อชมพู”