ทำให้พรรคก้าวไกลเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลในฐานะเป็นพรรคอันดับ 1 โดยมีพรรคเพื่อไทยร่วมทัพรัฐบาลในฐานะพรรคอันดับ 2 “คอลัมน์ตรวจการบ้าน” จึงต้องมาสนทนากับ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคเพื่อไทย ถึงผลจากการเลือกตั้งครั้งนี้ที่ไม่สามารถเกิดแลนสไลด์ได้อย่างที่ประกาศไว้ กลับเป็นรองขั้วฝ่ายประชาธิปไตยด้วยกันอย่างพรรคก้าวไกล พรรคเพื่อไทยจะปรับแนวทางทิศทางในอนาคตอย่างไร  

โดยนพ.ชลน่าน เริ่มเปิดประเด็นว่า ต้องยอมรับว่าการเลือกตั้งที่ผ่านมาไม่เป็นตามที่เรามุ่งหวังและตั้งเป้าหมายเอาไว้เราแพ้การเลือกตั้งในรอบ 20 ปี ดังนั้น จึงต้องย้อนมองตัวเองและมองอนาคตว่าพรรคจะเป็นอย่างไร ซึ่งจะต้องมีการ รีแบรนด์ ปรับรูปแบบ ภาพลักษณ์ การบริหารจัดการ โครงสร้างต่างๆ ในมิติของพรรคการเมือง เข้าสู่การเป็นสถาบันการเมืองที่แท้จริง 

@ ครั้งนี้เพื่อไทยก็ได้มีการ “รีแบรนด์” พรรคโดยดึงตัว น.ส.แพทองธาร ชินวัตร และนายเศรษฐา ทวีสิน รวมถึงคนรุ่นใหม่เข้ามาแล้ว แต่ยังสู้พรรคก้าวไกลไม่ได้

พรรคเพื่อไทย คิดพยายามปรับเปลี่ยนพรรคมาตั้งแต่วันที่ 28 ต.ค. 64 ปรับกลไกบริหารจัดการทุกอย่าง การที่ดึง “น.ส.แพทองธาร” เข้าในฐานะที่เชื่อว่า พรรคเพื่อไทย เกิดจาก “นายทักษิณ ชินวัตร” ที่เป็นผู้ก่อตั้ง ขณะนี้ดำรงตำแหน่งผู้นำทางจิตวิญญาณอยู่ ที่มีคนชื่นชอบเยอะมาก ไม่ชอบก็มีมาก การที่ให้คนที่ชื่นชอบเราในอดีต กลับมาอยู่กับเราก็ต้องมีสัญลักษณ์ของความเชื่อมั่นว่า ฉะนั้น น.ส.แพทองธาร คือ คำตอบ ยอมรับว่า ผลการดำเนินการช่วงแรกดีมากในมุมของครอบครัวเพื่อไทย ส่วน “นายเศรษฐา” ตอบโจทย์ในมุมเศรษฐกิจสามารถแก้ปัญหาได้แน่นอน

แต่สิ่งที่เราคิดไม่ถึง เราต้องยอมรับว่ากระแสต้องการเปลี่ยนแปลงมันสูงมาก จากผลพวงของการสืบทอดอำนาจมานาน 9 ปี ทำให้การชูประเด็นการเปลี่ยนแปลงจึงมีผลมากกว่าปัญหาด้านเศรษฐกิจ นี่คือคำตอบของพรรคที่ชนะนำขึ้นมาเป็นประเด็นรณรงค์หาเสียง

“สิ่งหนึ่งที่เป็นปัจจัยสำคัญในช่วงรณรงค์หาเสียงแรกๆ รัฐบาล หรือตัว พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เหมือนหัวคะแนนให้เรา ทุกคนก็หันมาฝากความหวังให้พรรคเพื่อไทย โพลไหนสำรวจมาก็อยู่ที่เราหมด แต่บาดแผลลึกที่ พล.อ.ประยุทธ์ทำ เมื่อมันมีการแข่งขันกัน แล้วใช้ประเด็นเรื่องความชัดเจน ไม่ชัดเจนต่างๆ มาตีพรรคเพื่อไทย กลไกการสื่อสารการเมืองยุคใหม่ ต้องยอมรับว่า กระแสโซเชียลมันแรงมาก สามารถเข้าถึงคนได้มากกว่าลึกกว่า” 

@ เมื่อร่วมรัฐบาลกับพรรคก้าวไกลแล้ว จะกอบกู้ความเชื่อมั่นพรรคเพื่อไทยกลับมาได้อย่างไร

เรามุ่งหวังทำงานเพื่อพี่น้องประชาชนอยู่แล้ว หลายคนก็มาตั้งสมมุติฐานว่า มาเป็นพรรคร่วมรัฐบาลให้พรรคก้าวไกลไม่กลัวส้มกินแดงหรือ เราก็บอกว่าไม่กลัว เพราะมิติทางการเมืองมันเปลี่ยน ถ้าเป็นรัฐบาลฝ่ายประชาธิปไตย พรรคก้าวไกล บวกกับพรรคเพื่อไทย และพรรคอื่นๆ มันก็เข้าสู่มิติการเมืองปกติ แล้วพี่น้องประชาชนจะได้รับโอกาสชีวิตที่ดีขึ้น การมาทำงานเป็นรัฐบาลก็อยู่ที่ผลงาน พรรคก้าวไกล และพรรคเพื่อไทย ก็สร้างผลงานที่ตัวเองรับผิดชอบเสนอต่อพี่น้องประชาชน อะไรที่เป็นผลงานรวมก็เป็นผลงานรวม เพราะเอ็มโอยูเขียนไว้ว่าเราต้องคำนึงผลประโยชน์พี่น้องประชาชนเป็นหลัก ไม่ได้คำนึงถึงประโยชน์พรรค ถ้าไม่เอานโยบายพรรคมาเป็นนโยบายรัฐบาลคุณจะทำได้หรือไม่ จะเกิดผลสัมฤทธิ์ตามที่คาดหวังไว้หรือไม่ ฉะนั้น จึงไม่ห่วงว่าแดงจะกินส้ม หรือส้มจะกินแดงอะไร

@มองอนาคตการทำงานรัฐบาลร่วมกับพรรคก้าวไกลอย่างไร จะมีปัญหาขัดแย้งหรือไม่ และจับมือทำงานร่วมกันไปได้อย่างไร

ถ้าเรามีจุดมุ่งหมายร่วมกันรู้และสำนึกรู้ว่าได้รับการมอบหมายจากประชาชนส่วนใหญ่ เชื่อว่าปัญหาต่างๆ จะแก้ได้ มันก็เหมือนกับผู้หญิงผู้ชายแต่งงานกันที่มีความแตกต่างกัน ทั้งเพศ ความรู้สึกนึกคิด และที่มาก็มีความแตกต่างกันหมด แต่ถูกกำหนดว่าจะต้องแต่งงานกัน เหมือนกับ พรรคก้าวไกล และ พรรคเพื่อไทย ที่ถูกชะตาฟ้ากำหนดจากประชาชน เพื่อดำรงความเป็นรัฐบาล และมีประชาธิปไตยที่สมบูรณ์มากยิ่งขึ้น

“แม้จะต้องเหยียบเท้ากัน อาจจะกัดฟันกัดลิ้นกัน มันก็เป็นเรื่องธรรมดา เพราะเป้าหมายใหญ่ คือ ต้องดำรงประชาธิปไตย ตามที่พี่น้องประชาชนต้องการให้เป็นรัฐบาลของเขา และทำงานเพื่อเขาให้ได้ เชื่อว่าปัญหาทุกอย่างจะถูกตัดออกหมด ผมเชื่อมั่นแบบนั้น เราต้องเอาเป้าหมายหลักเป็นจุดร่วม แม้จะถูกพ่อแม่คลุมถุงชนแต่ไม่ได้รักกัน มันก็เป็นข้อจำกัดในชีวิตคู่ หลายคู่ไม่ได้รักกันแต่ก็ปรับจูนเข้าหากัน แสวงจุดร่วมสงวนจุดต่างก็สามารถอยู่ด้วยกันรอด จะเลิกหย่าร้างกันก็ไม่ได้ ก็จำใจจำเป็นต้องอยู่ด้วยกันเพื่อสร้างในสิ่งที่เป็นความคาดหวัง”

@ ถ้านายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ไม่ได้เป็นนายกรัฐมนตรี ด้วยสาเหตุอะไรก็แล้วแต่ ฐานะที่เป็นพรรคการเมืองที่ได้คะแนนอันดับสอง จะหักฉันทามติประชาชนเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลแทนพรรคก้าวไลหรือไม่

ความจริงไม่อยากจะพูดถึงแผนสอง เพราะเรายังมุ่งมั่นแผนแรก คือ 8 พรรคการเมืองยังจับมือกันเพื่อสนับสนุนส่ง นายพิธา เป็นนายกฯ ให้ได้ตามที่คุยกันไว้ อันนี้คือแผนแรกและแผนเดียวที่เรายึดมั่นอยู่ในขณะนี้ ถ้าเกิดการเปลี่ยนแปลงในมุมไหนก็แล้วแต่ สิ่งที่ควรจะเป็นเมื่อได้รับอาณัติจากพี่น้องประชาชนแล้วคือ 25 ล้านเสียง เราก็ควรต้องอยู่ด้วยกันไปตลอด ถ้า นายพิธา ไม่ผ่านด้วยอะไรก็แล้วแต่ “พรรคเพื่อไทย และ พรรคก้าวไกล” รวมถึงพรรคอื่นๆ ที่ร่วมรัฐบาลก็ต้องมาคุยกันว่าจะหาทางออกอย่างไร เพราะแสวงหาจุดร่วมในการเป็นรัฐบาลประชาธิปไตย แนวทางควรจะเป็นแบบนั้น อะไรคือคำตอบของประเทศโดยไม่ต้องไปยึดตัวบุคคลแล้วในตอนนั้น 

เรามุ่งหวังว่าการจัดตั้งรัฐบาลฝ่ายประชาธิปไตยครั้งนี้จะประสบความสำเร็จ และอยู่ด้วยกันไปจนครบเทอม นี่คือจุดมุ่งหมายสูงสุดของพวกเรา เราต้องออกจากวังวนวิกฤตทางการเมืองได้แล้ว เว้นแต่ว่ามันจะเกิดเหตุการณ์หรือสถานการณ์ จนทำให้พวกเราทั้งสองฝ่าย หรือพรรคร่วมรัฐบาลทำถึงที่สุดแล้วก็เอาไม่อยู่ เพราะการเปลี่ยนแปลงหลายสิ่งหลายอย่างมันคาดการณ์ไม่ได้ มันนอกเหนือจากการจัดการของเราก็ต้องไปดูกัน แล้วก็ช่วยกันแก้ปัญหาตรงนั้น ความหมายก็คืออย่าให้มันเกิด.