การเลือกตั้งในหลายประเทศของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เมื่อไม่นานมานี้ สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของสื่อสังคมออนไลน์ ดังเช่นเมื่อวันที่ 23 ก.ค. ที่ผ่านมา กัมพูชาจัดการเลือกตั้งทั่วไป สมเด็จฮุน เซน ใช้สื่อสังคมออนไลน์อย่างครอบคลุมแทบทุกแพลตฟอร์ม เพื่อเข้าถึงประชาชนชาวกัมพูชา
อีกด้านหนึ่ง พรรคก้าวไกลของไทย ชนะการเลือกตั้งทั่วไปเมื่อวันที่ 14 พ.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งความสำเร็จของพรรค ส่วนใหญ่มาจากการใช้สื่อสังคมออนไลน์ของนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล และบรรดาแกนนำของพรรค ขณะเดียวกัน การเลือกตั้งประธานาธิบดีอินโดนีเซีย ซึ่งจะมีขึ้นในเดือน ก.พ. 2567 น่าจะมีแนวโน้มการใช้สื่อสังคมออนไลน์ที่คล้ายคลึงกัน
นักการเมืองจำนวนมากได้รับประโยชน์จากสื่อสังคมออนไลน์อย่างน้อย 3 อย่าง ประการแรก สื่อสังคมออนไลน์ทำให้นักการเมืองเข้าถึงผู้ชมในวงกว้างได้ง่ายกว่าช่องทางสื่อแบบดั้งเดิม เช่น หนังสือพิมพ์ และการออกอากาศทางโทรทัศน์
ประการที่สอง สื่อสังคมออนไลน์ทำให้นักการเมืองประเมินได้ง่ายขึ้นว่า คนกลุ่มไหนจะถูกโน้มน้าวจากข้อความของพวกเขามากที่สุด และด้วยเนื้อหาประเภทใด ส่งผลให้พวกเขาสามารถปรับแต่งข้อความให้เหมาะกับกลุ่มผู้มีสิทธิเลือกตั้งโดยเฉพาะ
ประการที่สาม สื่อสังคมออนไลน์ทำให้นักการเมืองและกลุ่มการเมือง เผยแพร่ข้อมูลเท็จที่สร้างความเสียหายต่อฝ่ายตรงข้ามได้ง่ายขึ้น เพื่อควบคุมความคิดเห็นของสาธารณะชน และสร้างอิทธิพลต่อผลการเลือกตั้ง
อย่างไรก็ตาม การลดความเสี่ยงของการใช้สื่อสังคมออนไลน์เพื่อวัตถุประสงค์เชิงลบ สามารถทำได้ 3 ประการ หนึ่งคือ การให้ความรู้แก่ประชาชน เกี่ยวกับการเผยแพร่ข้อมูลเท็จ และการบิดเบือนข้อมูลบนสื่อสังคมออนไลน์ รวมถึงความเสี่ยงของการเข้าใจผิดที่เกิดจากเนื้อหาทางการเมือง
ประการถัดมาคือ การสนับสนุนให้บริษัทสื่อสังคมออนไลน์จัดการกับข้อมูลเท็จและข้อมูลบิดเบือน โดยดำเนินการเชิงรุกมากขึ้น ในการลบเนื้อหาที่เป็นเท็จ และเป็นอันตราย ออกจากแพลตฟอร์มของพวกเขา ตลอดจนทำให้ผู้ใช้งานสามารถรายงานเนื้อหาที่สร้างความเข้าใจผิดได้ง่ายขึ้นด้วย
ประการสุดท้ายคือ การส่งเสริมบริษัทสื่อสังคมออนไลน์ให้มีความโปร่งใส เกี่ยวกับนโยบายตรวจสอบเนื้อหาของพวกเขา ซึ่งสิ่งนี้จะช่วยสร้างความไว้วางใจให้กับผู้ใช้งาน และทำให้ผู้ไม่ประสงค์ดี ใช้แพลตฟอร์มเพื่อจุดประสงค์ทางการเมืองได้ยากขึ้น.
เลนซ์ซูม
เครดิตภาพ : GETTY IMAGES