ยอดติดเชื้อใหม่รายวัน รวมไปถึงยอดผู้เสียชีวิต ยังไม่มีทีท่าจะลดลง ผู้ติดเชื้อรายใหม่และผู้เสียชีวิตพุ่งทุบสถิติไปถึง 2 วันติด ๆ  โดยยอดวันจันทร์ที่ 5 ก.ค.ติดเชื้อรายใหม่ 6,166 ราย เสียชีวิต 50 ราย (ยอดผู้ป่วยสะสม 283,233 ราย  ผู้เสียชีวิตสะสม 2,276 ราย) ส่วนการฉีดวัคซีนสะสม ตั้งแต่ 28 ก.พ.-3 ก.ค.64 รวม 10,670,897 โด๊ส เข็มที่ 1 สะสม 7,721,150 ราย เข็มที่ 2 สะสม 2,949,747 ราย

โดยมีพื้นที่ “กลุ่มเสี่ยง 10 จังหวัด”  รัฐบาลต้องยกระดับคุมเข้ม เพื่อใช้มาตรการควบคุมและสกัดกั้นการระบาดในพื้นที่  กรุงเทพมหานคร-ปริมณฑล (จ.นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ นครปฐม และสมุทรสาคร) รวมถึงพื้นที่ 4 จว.ชายแดนภาคใต้ (จ.ยะลา นราธิวาส ปัตตานี และสงขลา) ทำให้สภาพของพื้นที่ 10 จังหวัดขณะนี้ โรงพยาบาลหลายแห่ง รวมถึง รพ.สนาม ส่วนใหญ่อยู่ในสภาพวิกฤติทั้งเตียงล้น ไม่สามารถรับผู้ป่วยเพิ่มเติมได้ อีกทั้งบุคลากรทางการแพทย์ทำงานกันอย่างหนัก ยิ่งมีการสั่งปิดล็อกแคมป์ คนงานใน กทม.และปริมณฑล ทำให้บรรดาแรงงานทั้งชาวไทยและต่างชาติหลั่งไหลกลับบ้านพร้อมนำเชื้อไปด้วย

เชียงใหม่ตรวจเข้มมาจาก 10 จว.กลุ่มเสี่ยง

ช่วงนี้จึงเริ่มเห็นการผุดโครงการของสาธารณสุขหลาย ๆ จังหวัด ไม่ว่าจะเป็นภาคเหนือ หรือภาคอีสาน ออกประกาศอย่างชัดเจนแชร์ข้อมูลมากมายในโลกโซเชียล ให้ประชาชนที่มีภูมิลำเนา หรือมีทะเบียนบ้านในจังหวัดนั้น ๆ ที่มีผลยืนยันตรวจพบติดเชื้อโควิด-19 ต้องการจะกลับมารักษาตัวในจังหวัดบ้านเกิด ทีมข่าว 1/4 Special Report ได้ตรวจสอบข้อมูลการรับมือวิกฤติในพื้นที่ภาคเหนือกับทาง นายเจริญฤทธิ์ สงวนสัตย์ ผวจ.เชียงใหม่ เปิดเผยว่า ปัจจุบันจังหวัดเชียงใหม่ ดำเนินมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสโควิด-19 ในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่อย่างเข้มงวด โดย จัดเจ้าหน้าที่ อสม. ตำรวจ ฝ่ายปกครอง สาธารณสุข ร่วมตั้งด่านเข้มงวดทุกเส้นทางเข้าจังหวัดเชียงใหม่ โดยเน้นที่บริเวณถนนสายเชียงใหม่-ลำปาง (ขาเข้า)จังหวัดเชียงใหม่บริเวณสะพานวงแหวนรอบ 3 ต.ยางเนิ้ง อ.สารภี ตรวจเข้มประชาชนทุกคนที่เดินทางเข้าจังหวัดเชียงใหม่ โดยกลุ่มคนที่เดินทางมาจากพื้นที่เสี่ยงทั้ง 10 จังหวัดจะต้องเข้าตรวจหาเชื้อไวรัสโควิด-19 ทันทีและกักตัวเป็น
เวลา 14 วัน

“แม้ปัจจุบันจังหวัดเชียงใหม่ ไม่พบคลัสเตอร์ใหม่ในพื้นที่ แต่จะมีผู้ติดเชื้อที่พบจากการสัมผัสเชื้อจากต่างจังหวัด แล้วเดินทางเข้ามาจังหวัดเชียงใหม่ทุกวัน และมาสัมผัสในชุมชน และครอบครัว จึงขอเน้นย้ำให้ผู้ที่เดินทางเข้ามาเชียงใหม่ต้องเคร่งครัดในมาตรการจังหวัดเชียงใหม่ รวมไปถึงได้ขอความร่วมมือให้เจ้าบ้าน ผู้ให้ที่พักอาศัย โรงแรม คอนโดฯ หอพักต่าง ๆ ต้องแจ้งผู้ที่เข้าพักให้ปฏิบัติตามคำสั่งคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัดเชียงใหม่ หากไม่ปฏิบัติจะถือว่าเป็นความผิดตามกฎหมาย ส่วนการฉีดวัคซีนประชากรในจังหวัดเชียงใหม่มี  1.2 ล้านคน มีผู้ที่ได้รับการฉีดไปแล้ว 145,160 คน

สำหรับการฉีดวัคซีนจังหวัดเชียงใหม่ ได้เปิดเว็บไซต์ “ก๋ำแปงเวียง”  และทำการรณรงค์ให้คนเชียงใหม่เข้ามาลงทะเบียนฉีดวัคซีน โดย จังหวัดเชียงใหม่มีประชากร 1.2 ล้านคน มีผู้ประสงค์ฉีดแล้ว 851,598 คน โดยขณะนี้มีผู้ที่ได้รับการฉีดไปแล้ว 145,160 โด๊ส

“ลำปาง” ประเดิมรับผู้ติดเชื้อมารักษา

ขณะเดียวกัน นายณรงค์ศักดิ์ โอสถธนากร ผวจ.ลำปาง กล่าวว่า การติดเชื้อรายใหม่ส่วนใหญ่ในพื้นที่ เกิดขึ้นจาก 2 ปัจจัยใหญ่ ๆ  คือ การแพร่เชื้อเป็นกลุ่มก้อนภายในครอบครัว โดยสมาชิกในครอบครัว ที่เดินทางกลับจากพื้นที่เสี่ยง หรือได้สัมผัสกับบุคคลที่เดินทางมาจากพื้นที่เสี่ยง และไม่รักษามาตรการ จึงนำเชื้อมาติดกับสมาชิกในครอบครัว และจากกรณีคลัสเตอร์แคมป์คนงานก่อสร้างใน กทม.และปริมณฑล เมื่อรัฐบาลประกาศปิดแคมป์คนงาน เริ่มตั้งแต่วันที่ 28 มิ.ย.-27 ก.ค.64 จังหวัดลำปางจึงดำเนินมาตรการเพื่อเป็นการเฝ้าระวัง ป้องกัน การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 สำหรับประชาชนที่เดินทางเข้าจังหวัดลำปางให้ปฏิบัติอย่างเคร่งครัด ดังนี้ 1. ให้ลงทะเบียนเข้าพื้นที่จังหวัดลำปาง โดยสแกน QR code “ลำปางชนะ” (กรอกข้อมูลให้ครบถ้วนถูกต้อง) 2. ให้รายงานตัวต่อ อสม./ผู้นำชุมชน / จนท.สาธารณสุข ในพื้นที่ ของทุกหมู่บ้าน/ชุมชน โดยไม่ปกปิดข้อมูลไทม์ไลน์ในการเดินทาง เพื่อพิจารณาประเมินความเสี่ยง  3.กรณีมาจากกรุงเทพมหานครและปริมณฑล (นครปฐม นนทบุรี ปทุมธานี สมุทรปราการ และ สมุทรสาคร) และพื้นที่ 4 จังหวัดชายแดนภาคใต้ (นราธิวาส ปัตตานี ยะลา และสงขลา) ให้กักตัวเป็นเวลาอย่างน้อย 14 วัน และหากมีภารกิจจำเป็นต้องออกจากบ้าน/ที่พักอาศัย ต้องได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงานควบคุมโรคทุกครั้ง

สำหรับประชาชนชาวลำปางขอความร่วมมือปฏิบัติตามมาตรการความปลอดภัย (DMHT) อย่างเคร่งครัด คือ D : Social Distancing เว้นระยะห่าง ไม่ไปในที่แออัด, M : Mask Wearing สวมหน้ากากอนามัย/ผ้า ตลอดเวลา, H : Hand Washing การล้างมือบ่อย ๆ ด้วยน้ำและสบู่หรือเจลแอลกอฮอล์ และ T : Tracking เช็กอินทุกสถานที่ที่เข้าไปด้วยการสแกนแอพพลิเคชั่นไทยชนะ

นอกจากนี้นายณรงศักดิ์  ผวจ.ลำปาง ยังได้นำร่องผุดโครงการ “รับคนลำปางกลับบ้าน” โดยรับผู้ป่วยที่มีภูมิลำเนาเป็นคนลำปางที่อาศัยอยู่จังหวัดอื่น และมีผลตรวจยืนยันติดเชื้อโควิด-19 หากประสงค์มารับการรักษาที่จังหวัดลำปาง ให้ติดต่อ “ศูนย์ประสานงานรับคนลำปางกลับบ้าน” หมายเลขโทรศัพท์ 09-0331-1493 โดยมีขั้นตอนดังนี้ 1. โทรฯประสานศูนย์ประสานงานรับคนลำปางกลับบ้าน 2. เดินทางโดยรถยนต์ส่วนตัวเท่านั้น 3. เตรียมอาหารและน้ำดื่มให้เพียงพอกับช่วงระยะเวลาการเดินทาง 4. สวมหน้ากากอนามัยตลอดการเดินทาง 5. ขณะใช้ห้องน้ำให้สวมหน้ากากและล้างมือก่อนและหลังเข้าห้องน้ำ 6. ห้ามแวะระหว่างการเดินทางให้ตรงไปที่โรงพยาบาลที่ประสานงานไว้เท่านั้น

ภายหลังจากมีการเปิดศูนย์ประสานงานรับคนลำปางกลับบ้าน มีชาวลำปางบางคนไปทำงานอยู่ย่านลาดพร้าว กรุงเทพมหานคร ติดเชื้อโควิดมา 3 วัน แต่ต้องกักตัวอยู่ที่บ้านพัก เนื่องจาก รพ.ยังไม่มีเตียงรักษา ทางญาติพี่น้องใน อ.แม่ทะ จึงประสานงานแจ้งศูนย์ฯ ประสานงานช่วยเหลือ รับตัวกลับมารักษาที่ รพ.แม่ทะ จ.ลำปาง เป็นที่เรียบร้อย ส่วนข้อมูลจำนวนผู้ติดเชื้อในจังหวัดลำปางล่าสุด  มีจำนวนผู้ติดเชื้อ 29 คน โดยแบ่งออกเป็นผู้ป่วยจากโครงการรับคนลำปางกลับบ้าน 15 คน และที่จังหวัดลำปางตรวจพบเอง 14 คน

อย่างไรก็ตาม ผวจ.ลำปาง ยังคงย้ำเตือนประชาชนทั่วไปให้ปฏิบัติตนตามมาตรการความปลอดภัย (DMHT) อย่างเคร่งครัด และหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยง เช่น การดื่มสุราสังสรรค์เป็นกลุ่ม การเข้าไปในสถานที่เสี่ยง สถานที่แออัด ยังถือเป็นเรื่องสำคัญของทุกคน ทั้งนี้ หากมีข้อสงสัยสามารถติดต่อได้ที่ สายด่วนศูนย์โควิด-19 จ.ลำปาง โทร.09-3140-8023 ได้ทุกวันระหว่างเวลา 08.30-16.30 น.

ปัจจุบัน จังหวัดลำปางได้ดำเนินการฉีดวัคซีนไปแล้วทั้งสิ้น 45,191 โด๊ส (ยอดวันที่ 5 ก.ค.) แบ่งออกเป็นกลุ่มผู้สูงอายุร้อยละ 33.5 กลุ่มผู้มีโอกาสสัมผัสกับผู้ติดเชื้อ ร้อยละ 22.6 กลุ่ม อสม. ร้อยละ 18.6 กลุ่มบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขร้อยละ 18  และกลุ่มผู้ป่วยเรื้อรัง 7 โรค ร้อยละ 8.1 ตามลำดับ ทั้งนี้ จากจำนวนประชากร 728,964 คน.