ทั้งนี้ หลายฝ่ายจับตาภารกิจของคิมอย่างใกล้ชิด ว่ามีวัตถุประสงค์เพื่อเจรจากับรัฐบาลมอสโก แลกการรับความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม กับการที่เกาหลีเหนือจะมอบความสนับสนุนด้านอาวุธให้แก่รัสเซีย เพื่อนำไปใช้สู้รบในสงครามยูเครน

อย่างไรก็ตาม ในแง่ของกฎหมายระหว่างประเทศ การพบหารือระหว่างคิมกับปูตินถือเป็นการละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศแทบทุกด้าน โดยเฉพาะการที่รัฐบาลเปียงยางจะมอบความสนับสนุนด้านอาวุธให้แก่รัฐบาลมอสโก

ตลอดช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ผู้นำทั้งสองประเทศต่างมีความเชื่อมโยง กับการเสียชีวิตของบุคคลหลายคน ที่ถือเป็นฝ่ายตรงข้ามทางการเมือง โดยกรณีของคิมรวมถึง การเสียชีวิตของนายจาง ซอง-แท็ก เมื่อเดือนต.ค. 2556 และเหตุการณ์ใช้สารพิษลอบสังหารนายคิม จอง-นัม ซึ่งมีศักดิ์เป็นพี่ชายต่างมารดาของท่านผู้นำสูงสุดแห่งเกาหลีเหนือ เมื่อเดือนก.พ. 2560

ด้านกรณีของปูติน พัวพันถึงการเสียชีวิตของนายอเล็กซานเดอร์ ลิตวิเนนโก อดีตเจ้าหน้าที่ข่าวกรองชาวรัสเซียซึ่งลี้ภัยไปยังสหราชอาณาจักร เมื่อปี 2549 และล่าสุดคือ การเสียชีวิตที่ยังคงเต็มไปด้วยเงื่อนงำ ของนายเยฟเกนี พริโกซิน ผู้นำกองกำลังทหารรับจ้าง “วากเนอร์” จากโศกนาฏกรรมเครื่องบินเจ็ตตก ในเขตทางเหนือของกรุงมอสโก เมื่อเดือนส.ค. ที่ผ่านมา

ขณะเดียวกัน ผู้นำสูงสุดของเกาหลีเหนือและรัฐบาลเปียงยาง ยังคงเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักจากสหประชาชาติ ( ยูเอ็น ) ว่าให้ความสำคัญกับโครงการขีปนาวุธ ซึ่งคุกคามดสถียรภาพและความมั่นคงของโลก และการทุ่มเทงบประมาณไปกับกองทัพ มากกว่าการยกระดับความเป็นอยู่ของประชาชนในประเทศ ที่ส่วนใหญ่ยังคงเผชิญกับภาวะอดอยาก และการถูกละเมิดสิทธิมนุษยชน

ย้อนกลับไปเมื่อเดือนมี.ค. ที่ผ่านมา ศาลอาญาระหว่างประเทศ ( ไอซีซี ) ซึ่งมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์ ออกหมายจับผู้นำรัสเซีย ฐานเป็นอาชญากรสงครามในยูเครน จากการ “ลักพาตัวและบังคับการอพยพ” ของเด็กชาวยูเครน โดยเฉพาะที่อาศัยอยู่ทางตะวันออก

อนึ่ง เกาหลีเหนือประกาศเมื่อปลายเดือนส.ค. ที่ผ่านมา ว่า “พลเมืองซึ่งอาศัยอยู่ในต่างประเทศสามารถเดินทางกลับได้” เนื่องจากรัฐบาลเปียงยาง “ตัดสินใจประเมินระดับการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ให้สอดคล้องกับสถานการณ์โลก”

ทว่าหากมองในอีกมุมหนึ่ง การประกาศดังกล่าวอาจเป็นการหาทางผลักดัน และส่งกลับผู้ลี้ภัยชาวเกาหลีเหนือ หรือชาวเกาหลีเหนือแปรพักตร์ ซึ่งจะต้องรับบทลงโทษสถานหนักเมื่อกลับเข้าไปในประเทศอีกครั้ง ประชาคมโลกจึงควรร่วมกันเพิ่มความจริงจัง ในการยับยั้งเรื่องนี้ด้วย

ไม่ว่าผลลัพธ์ของการหารือระหว่างผู้นำรัสเซียกับผู้นำสูงสุดของเกาหลีเหนือจะออกมาเช่นใด ยูเครนจะยังคงได้รับความสนับสนุนด้านอาวุธจากสหรัฐและพันธมิตรต่อไป อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ในสมรภูมิมีแนวโน้มรุนแรงขึ้นจากอาวุธของเกาหลีเหนือ และผลร้ายมีแต่จะตกไปอยู่ที่ชาวยูเครนเท่านั้น.

เลนซ์ซูม

เครดิตภาพ : AFP