เลออน วัย 46 ปี เจ้าของร้านอาหาร “Aponiente” ก้าวข้ามขีดจำกัดของอาหารทะเลด้วยการเสิร์ฟข้าวแพลงก์ตอน ชีสหมึก และพุดดิ้งหอยแมลงภู่ ที่ร้านอาหารล้ำยุคของเขา ในเมืองเอล ปวยร์โต เด ซันตา มาเรีย ซึ่งเป็นเมืองประมงใจกลางอ่าวกาดิซ

จากการทดลองใช้วัตถุดิบและนวัตกรรมใหม่ ๆ ที่ยั่งยืน เลออนเป็นรู้จักในสเปนในฉายา “เอล เชฟ เดล มาร์” หรือ “เชฟแห่งท้องทะเล”

“ทะเล เป็นตู้กับข้าวที่ไม่ธรรมดา ซึ่งเชฟหลายคนมักจะมองข้าม และปัญหาคือ คนเรามักช่างเลือกในผลิตภัณฑ์ที่พวกเขาเลือกรับประทานอยู่เสมอ” เลออน กล่าว พร้อมกับแนะนำว่า ทุกสิ่งที่พบในมหาสมุทร มีแนวโน้มที่จะรับประทานได้

เลออนเกิดที่เมืองเฆเรส เด ลา ฟรอนเตรา และใช้ชีวิตตอนเด็กที่อ่าวกาดิซ ซึ่งเขาไปตกปลากับพี่ชาย และบิดาของเขาในช่วงสุดสัปดาห์ แม้เขาเป็นนักเรียนยากไร้ แต่ความหลงใหลเกี่ยวกับปลา และการนำมันมาปรุงอาหาร เป็นแรงผลักดันให้เลออนตัดสินใจก้าวเข้าสู่อาชีพเชฟ

ในช่วงวัยรุ่น เลออนเข้าศึกษาที่โรงแรมและโรงเรียนสอนการประกอบอาหารในเมืองเซบีญา จากนั้นเขาได้ไปทำงานที่ร้านอาหาร Le Chapon Fin ที่ได้รับการยกย่อง ในเมืองบอร์กโดซ์ ทางตะวันตกเฉียงใต้ของฝรั่งเศส โดยหลังจากใช้ชีวิตอยู่ในกรุงมาดริด และเมืองโตเลโด เลออนก็กลับมายังเมืองกาดิซ เมื่อปี 2550 และเปิดร้านอาหาร Aponiente ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

เป้าหมายของเลออน คือ การสรรสร้างเมนูอาหารโดยใช้วัตถุดิบที่พบในอ่าว ซึ่งการเดิมพันดังกล่าวมีความเสี่ยง และร้านอาหารแห่งนี้ประสบความลำบากในการดึงดูดลูกค้า จนกระทั่งความพยายามของเขา ในการใช้วัตถุดิบจากทะเลที่ไม่ค่อยมีใครรู้จัก ได้รับการยอมรับเมื่อปี 2553 พร้อมกับดาวมิชลินดวงแรก

เลออนลงทุน 2.5 ล้านยูโร (ราว 96 ล้านบาท) เพื่อซ่อมแซมอาคารที่ทรุดโทรม ซึ่งตอนนี้ได้รับการตกแต่งแบบร่วมสมัย ซึ่งผสมสานเข้ากับภูมิทัศน์ของบึงเกลือที่อยู่ล้อมรอบ

ปัจจุบัน เลออนมีพนักงาน 70 คน ซึ่งความสำเร็จของร้านอาหารแห่งนี้ สร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้อื่น อีกทั้ง “เดอะ วอลล์ สตรีท เจอร์นัล” ยังจัดอันดับให้ร้าน Aponiente เป็น 1 ใน 10 ร้านอาหารที่ดีที่สุดในยุโรปด้วย

ทั้งนี้ เลออนกล่าวว่า เขามุ่งมั่นที่จะ “เปิดใจ” นักชิมคนอื่น ๆ และทำการทดลองใหม่ ๆ เพื่อผสมผสานการปกป้องสิ่งแวดล้อม เข้ากับการค้นหาส่วนผสมใหม่ โดยสำรวจวิธีปรับอาหารให้เข้ากับภาวะโลกร้อนตามความเป็นจริง.

เลนซ์ซูม

เครดิตภาพ : AFP