“คอลัมน์ตรวจการบ้าน” จึงได้ถือโอกาสมาสนทนากับ “ภูมิธรรม เวชยชัย” รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พาณิชย์ ในฐานะประธานคณะกรรมการศึกษาแนวทางการทำประชามติและแนวทางร่างรัฐธรรมนูญ หลังจัดคณะกรรมการฯชุดนี้ขึ้นที่มีบุคคลสำคัญร่วมคณะมากขึ้น 35 คนจะเดินหน้ากันอย่างไร เพราะหลายคนมองว่า พรรคเพื่อไทยไม่จริงใจในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และการตั้งคณะกรรมการฯขึ้นมาก็เป็นเพียงการซื้อเวลาของพรรคเพื่อไทย เท่านั้น

โดย“ภูมิธรรม”  เปิดประเด็นว่า คณะกรรมการฯชุดนี้จะพยายามรวบรวมความเห็นให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้จากคนกลุ่มต่าง ๆ ทั้งภาคประชาชน ภาคธุรกิจ ภาควิชาการ และภาคพรรคการเมืองบางส่วนที่ไม่ได้เข้ามาในคณะกรรมการฯ เช่น พรรคการเมืองขนาดเล็ก ดังนั้นเมื่อพรรคก้าวไกลไม่ประสงค์ที่จะเข้าร่วม ไม่สะดวกที่จะเข้ามาเป็นหนึ่งในคณะกรรมการก็ไม่เป็นไร เพราะไม่มีผลกระทบจนเดินหน้าต่อไปไม่ได้ ซึ่งเราพยายามเชิญทุกฝ่ายเข้ามามีส่วนร่วมให้ได้มากที่สุด เพื่อรับฟังความเห็นที่รอบด้าน ถ้าพรรคก้าวไกล ยังขอสงวนสิทธิ์ที่ร่วมดำเนินการก็ไม่เป็นไร  เพราะแม้ไม่เข้าร่วมในคณะกรรมการฯ แต่เมื่อถึงเวลาก็ต้องขอพบปะพูดคุยเชิญมาหารือกันในทัศนความเห็น จะยินดีมาตอบก็ได้หรือไม่ยินดีมาตอบก็ไม่เป็นไร 

เมื่อพรรคก้าวไกลไม่มาเข้าร่วมเป็นคณะกรรมการฯผมจึงถือโอกาสเสนอให้  นายกรัฐมนตรี “เศรษฐา ทวีสิน” ลงนามปรับเปลี่ยนบุคคลเพิ่มเติมในกรณีนี้ อีกทั้งในแง่ของกฎหมายยังมีการถกเถียงกัน ว่า สัดส่วนสส.ที่เข้ามาร่วมเป็นคณะกรรมการฯเหมาะสมหรือไม่  ทำให้ต้องเปลี่ยนบุคคล 4-5 คน อาทิ นายชูศักดิ์ ศิรินิล นายนพดล ปัทมะ น.ส.ลิณธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรค พท. นายฐากร ตัณฑสิทธิ์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคไทยสร้างไทย และดึงบุคคลอื่นเข้ามาเพิ่มเติม ส่วนจะเอาใครเข้ามานั้นอยู่ในระหว่างการทาบทามและรอตอบรับ 

@ คณะกรรมการฯที่ตั้งขึ้นมาโดยไม่มีพรรคก.ก. จะเป็นชนวนให้ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้สะดุดเดินหน้าต่อลำบากหรือไม่ 

คณะกรรมการฯทุกคนไม่ได้ฝักฝ่ายใด ทุกคนมีความเป็นมืออาชีพ และมีความตั้งใจที่จะทำรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตยมากที่สุด ปัญหาของเรามีอยู่เรื่องเดียว คือ จะไม่แตะหมวด 1 และหมวด 2 เพื่อป้องกันความเห็นต่างที่จะเป็นความขัดแย้งในอนาคตเท่านั้นเอง นอกนั้นก็เป็นประชาธิปไตยสามารถทำได้ทุกอย่าง 

@ ไทม์ไลน์การทำรัฐธรรมนูญพรรคเพื่อไทยกำหนดเวลาไว้หรือไม่ว่าต้องเสร็จเมื่อไหร่

เราจะเริ่มนับหนึ่งได้ก็คือวันที่ 10 ต.ค.นี้ ตนจะนัดประชุมสรุปหาแนวทางและกำหนดไทม์ไลน์ให้ชัด เพื่อให้ประชาชนสบายใจว่า เรามีแนวทางที่จะทำงานกันอย่างไร ซึ่งหลักการที่เคยพูดไปแล้วจะต้องร่างรัฐธรรมนูญให้เสร็จพร้อมกับร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ (พ.ร.ป.) ภายใน 4 ปีที่รัฐบาล ยืนยันว่า จะทำให้เร็วที่สุดและทันต่อการเลือกตั้งครั้งหน้า ในกรอบกติกาใหม่ที่มีความเป็นประชาธิปไตยมากขึ้น 

ตั้งแต่ต.ค. 66 เราเริ่มสตาร์ทนับหนึ่ง และ 3 เดือนหลังจากนี้เราจะพยายามรับฟังความเห็นให้มากที่สุดเท่าที่จะบอกได้ แล้วเมื่อรับฟังความเห็นทุกอย่างได้เรียบร้อย คาดว่าตั้งแต่เดือนม.ค. 67 ก็จะมีข้อสรุปและข้อเสนอแนะให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้ชัดเจนขึ้น จากนั้นก็จะเป็นกระบวนการทำประชามติโดยคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ในส่วนนี้คณะกรรมการฯ จะทำการศึกษาคำถามประชามติเพื่อให้เกิดความชัดเจนมากขึ้น

@ การแก้ไขรัฐธรรมนูญจะเป็นการซื้อเวลารัฐบาลอยู่ยาวหรือไม่

ไม่ครับ เราเริ่มต้นกระบวนการทุกอย่างตามกฎหมาย  ซึ่งศาลรัฐธรรมนูญได้ ระบุไว้ว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นอำนาจและสิทธิของประชาชน เพราะประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย ฉะนั้นจึงต้องมีกระบวนการ แต่กระบวนการ การทำประชามติไม่ใช่ว่า ตัดสินใจทำได้เลย ในทางเทคนิคจะต้องมีกระบวนการสรุปและนำเสนอให้ชัดเจน ขณะที่การแก้ไขรัฐธรรมนูญก็มีความเห็นต่างในหลายเรื่อง ถ้าไม่ทำให้เคลียร์ชัด เมื่อเข้าสู่กระบวนการทำประชามติก็จะกลายเป็นความขัดแย้งและอาจจะรุนแรงเหมือนในอดีตก็ได้ 

ส่วนที่ก่อนหน้านี้ก็เคยมีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาศึกษาการแก้รัฐธรรมนูญมาแล้วหลายชุดทำไมไม่เอามาต่อยอดจะได้ไม่ต้องใช้เวลาเยอะและสามารถตั้งส.ส.ร.ได้เลย ผมคิดว่าอะไรที่เขาทำมาก็ควรนำมาสรุปเป็นบทเรียน และไม่ควรจะหลีกเลี่ยง และเราก็พยามทำให้เกิดกระบวนการ ส.ส.ร. เกิดขึ้น แต่ก็ขึ้นอยู่กับคำตอบในคำถามของประชามติ คาดว่า 3-4 เดือนหลังจากนี้จะเห็นความชัดเจนและคำตอบทุกอย่าง 

@ ส่วนที่มีการมองว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้เป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับพรรค พท. ต่อการเลือกตั้งครั้งหน้า

ยืนยันว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นไปตามกระบวนการกฎหมาย ไม่ได้เป็นการวางแผน เพื่อเอื้อประโยชน์ให้พรรคเพื่อไทย เพราะการแก้ไขรัฐธรรมนูญจะเกิดประโยชน์กับใครก็ได้ทั้งนั้น ถ้าเรายังอยู่ในสังคมประชาธิปไตยและพร้อมที่จะลงสู่กระบวนการเลือกตั้ง 

 “ผมไม่ได้ทำรัฐธรรมนูญเพื่อพรรคเพื่อไทย แต่ทำรัฐธรรมนูญให้เป็นประชาธิปไตยมากที่สุด พรรคเพื่อไทยมาจากรัฐบาลที่ประชาชนเลือกตั้งเข้ามา ฉะนั้นไม่กลัวการเลือกตั้ง”

@ กังวลว่าร่างรัฐธรรมนูญที่จะแก้ไขขึ้นมาใหม่จะถูกฉีกเหมือนในอดีตทุกครั้งเมื่อมีการปฏิวัติรัฐประหาร และจะมีการป้องกันอย่างไร

เรื่องการป้องกันไม่ให้เกิดการรัฐประหารหรือล้มล้างรัฐธรรมนูญ ขึ้นอยู่กับจิตสำนึกของสังคมและจิตสำนึกของประชาชน ถ้าประชาชนผู้เป็นเจ้าของอธิปไตยไม่ยอมก็ทำไม่ได้ ในปัจจุบันผมเชื่อว่า รัฐบาลมีความสามารถมีอำนาจในการบริหารงานของกระทรวงกลาโหมอยู่ แต่มันก็ห้ามไม่ได้ที่บุคคลมีอำนาจบางส่วนไม่พึงพอใจไม่ตอบโจทย์ความคิดความเชื่อของเขาได้ ฉะนั้นก็อาจจะเกิดขึ้นได้ เมื่อเรามีโอกาสร่างรัฐธรรมนูญแล้วต้องร่างให้เป็นประชาธิปไตยมากที่สุดเท่าที่ทุกคนจะยอมได้ และการปฏิวัติรัฐประหาร ก็จะเกิดช้าน้อยลง หากว่ามีความเห็นที่ไม่ตอบสนอง การปฏิวัติรัฐประหารก็สามารถเกิดขึ้นได้ สิ่งสำคัญ คือ องค์ความรู้ทางการเมืองต้องอยู่ในความคิดคำนึงของประชาชนให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้ เชื่อว่าวันหนึ่งการปฏิวัติรัฐประหารก็จะคลี่คลายและหมดลงไปได้

 “ผมทำการเมือง อยู่ด้วยความเป็นจริง ไม่ไปไกลกว่าความเป็นจริง ยึดหลักการที่เหมาะสมและถูกต้อง คำนึงถึงสภาพแวดล้อมทั้งหมด ผลักดันสิ่งที่ดีที่สุดให้กับสังคม”.