ศึกฟุตบอลถ้วยยุโรป กำลังจะมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ โดยทั้ง 3 ถ้วยประกอบด้วย ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก, ยูฟ่า ยูโรป้า ลีก และ ยูฟ่า ยูโรป้า คอนเฟอเรนซ์ ลีก จะมีการเปลี่ยนรูปแบบการแข่งขันใหม่ นับตั้งแต่ฤดูกาล 2024-25 หรือฤดูกาลหน้าเป็นต้นไป

การเปลี่ยนแปลงที่ว่า มีรายละเอียดอย่างไรบ้าง ไปดูกัน…

อันดับแรก จำนวนทีมที่ร่วมฟาดแข้ง จะเพิ่มจาก 32 เป็น 36 ทีม ทำให้จำนวนเกมตลอดทั้งฤดูกาลจะเพิ่มขึ้นอีก 50 เปอร์เซ็นต์ (แต่ไม่ได้หมายความว่าทุกทีมจะมีโปรแกรมเตะเพิ่มอีก 50 เปอร์เซ็นต์) และแน่นอน จำนวนเกมเพิ่มขึ้น ย่อมหมายถึงรายได้จากลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสด ที่เพิ่มขึ้นเป็นเงาตามตัว

ถามว่า 4 โควต้าที่เพิ่มมาจากเดิม มีที่มาจากอะไร ตรงนี้มีเรื่องของ “ค่าสัมประสิทธิ์” เข้ามาเกี่ยวข้อง ดังนั้นต้องทำความเข้าใจเรื่องนี้กันก่อน โดยค่าสัมประสิทธิ์ แบ่งเป็น 2 แบบ หนึ่งคือค่าสัมประสิทธิ์ของสมาคมฟุตบอลแต่ละชาติ วัดจากผลงานรวมของทีมจากแต่ละลีกใน 5 ซีซั่นหลังสุด ซึ่งจะนำมาใช้ในฤดูกาลถัดจากฤดูกาลถัดไป (หรืออีก 2 ฤดูกาลข้างหน้า) ซึ่งตรงนี้จะนำมาใช้เป็นตัวกำหนดว่าแต่ละลีกจะได้สิทธิ์ส่งตัวแทนร่วมฟาดแข้งกี่ทีม และเริ่มที่รอบไหนของแต่ละถ้วย ส่วนอีกแบบคือค่าสัมประสิทธิ์ของสโมสร วัดจากผลงานของแต่ละสโมสร ซึ่งมีไว้สำหรับจัดทีมวาง

ขณะที่ 4 โควต้าที่เพิ่มขึ้นมานั้น ประกอบด้วย 1. สโมสรจากลีกที่มีค่าสัมประสิทธิ์ของลีกอยู่อันดับ 5 ซึ่งปัจจุบันคือลีกฝรั่งเศส 2. รองแชมป์เอเรดิวิซี ลีก เนเธอร์แลนด์ ส่วนโควต้าที่ 3 และ 4 จะเป็นโควต้าพิเศาของลีกที่มีค่าสัมประสิทธิ์สูงสุด 2 อันดับแรกในซีซั่นก่อนหน้านั้น โดยสิทธิ์จะเป็นของทีมที่อันดับสูงสุดในลีก ที่ยังไม่ได้โควต้าไปเล่นโดยตรง

ส่วนรูปแบบการแข่งขันนั้น รอบแบ่งกลุ่ม 8 กลุ่ม กลุ่มละ 4 ทีมอย่างที่เราคุ้นเคย จะไม่มีอีกแล้ว โดยจะเปลี่ยนเป็นการฟาดแข้งแบบลีก ที่เรียกว่า “ลีก สเตจ” แทน แต่มีรายละเอียดบางอย่างที่เพิ่มเติมขึ้นมา

ก่อนอื่น รอบคัดเลือกยังคงมีอยู่ โดยแบ่งเป็น 3 รอบ ก่อนเข้าสู่ด่านสุดท้ายคือการเพลย์ออฟเพื่อแย่งสิทธิ์เข้าสู่ ลีก สเตจ

ส่วนในรอบ ลีก สเตจ นั้น ที่มาของ 36 ทีมประกอบด้วย แชมป์เก่าถ้วย แชมเปี้ยนส์ ลีก 1 ทีม แชมป์ ยูโรป้า ลีก 1 ทีม โควต้าพิเศษจากลีกที่มีค่าสัมประสิทธิ์สูงสุดอีก 2 ทีม ส่วนที่เหลืออีก 16 ทีมเป็นทีมอันดับ 1-4 จากพรีเมียร์ลีก อังกฤา, ลา ลีกา สเปน, บุนเดสลีกา เยอรมนี และ กัลโช เซเรีย อา อิตาลี นอกจากนี้ยังมีทีมอันดับ 1-3 จากลีก เอิง ฝรั่งเศส แชมป์และรองแชมป์ เอเรดิวิซี ลีก เนเธอร์แลนด์ ทีมแชมป์ลีกโปรตุเกส, เบลเยี่ยม, สกอตแลนด์ และออสเตรีย บวกกับทีมที่มาจากการเพลย์ออฟอีก 7 ทีม รวมทั้งหมดเป็น 36 ทีม

ขณะที่รูปแบบการแข่งขันนั้น ไม่มีการแบ่งกลุ่มอีกแล้ว โดยทั้ง 36 ทีม จะลงเตะทีมละ 8 นัด เหย้า 4 นัด เยือน 4 นัด และในแต่ละนัดจะเจอทีมไม่ซ้ำหน้ากัน โดยจะมีการแบ่งโถเพื่อจับสลากเพื่อกำหนดว่าแต่ละทีมจะได้เจอใครบ้างจากแต่ละโถ โดยแบ่งเป็น 4 โถ โถละ 9 ทีม เรียงตามค่าสัมประสิทธิ์ของสโมสร โดยโถ 1 จะมีแชมป์เก่า และ 8 ทีมที่มีค่าสัมประสิทธิ์สูงสุด ส่วนโถที่เหลือก็เรียงตามค่าสัมประสิทธิ์จากมากไปน้อย

โดยแต่ละทีม จะถูกจับให้เจอกับคู่แข่งโถละ 2 ทีม เหย้า 1 เยือน 1 เป็น 6 นัด บวกกับการเจอทีมในโถของตัวเอง รวมเป็นทั้งหมด 8 นัด โดยสโมสรจากลีกเดียวกัน จะไม่เจอกันในรอบลีก สเตจ ยกเว้นลีกที่มีตัวแทน 5 ทีม อาจจะมีเจอกันเอง 1 นัด

เมื่อจบรอบ ลีก สเตจ แล้ว ทีมที่มีคะแนนเป็นอันดับ 1-8 ผ่านเข้าไปรอบในรอบ 16 ทีมสุดท้ายโดยอัตโนมัติ ส่วนทีมที่จบเป็นอันดับ 9-24 ต้องเตะเพลย์ออฟอีก 2 นัดเหย้าเยือน เพื่อหาอีก 8 ทีมตามเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้าย หลังจากนั้นก็ประกบคู่น็อคเอาต์กันไปจนถึงรอบชิงชนะเลิศ เป็นอันเสร็จพิธี

ซึ่งรูปแบบเดียวกันนี้ นอกจากถ้วยยูฟ่า แชมเปี้ยนสื ลีก แล้ว ก็จะถูกใช้ในอีก 2 ถ้วย นั่นคือ ยูฟ่า ยูโรป้า ลีก และ ยูฟ่า ยูโรป้า คอนเฟอเรนซ์ ลีก ด้วย นับตั้งแต่ฤดูกาล 2024-25 หรือฤดูกาลหน้าเป็นต้นไปเช่นกัน

ณ นาทีนี้แฟนบอลเห็นแล้วอาจจะยังนึกภาพไม่ออก หรือยังไม่คุ้นเคยกับรูปแบบใหม่ เป็นธรรมดาที่ต้องมีเสียงบ่น แต่พอถึงเวลาจริง เชื่อว่ามันน่าจะใช้เวลาไม่นานสำหรับแฟนบอลในการทำความคุ้นเคยกับรูปแบบนี้

แต่ส่วนที่ว่ามันจะสนุกเร้าใจเท่ารูปแบบเดิมหรือไม่ ต้องรอให้ถึงเวลาจริง ๆ เสียก่อน จึงจะให้คำตอบได้…