ฮอตจนไม่พูดถึงไม่ได้เลยสำหรับภาพยนตร์ไทยสุดฮิตที่หลายคนพูดต่อๆ กันอย่าง 14 อีกครั้ง I Love You Two Thousand จากฝีมือของผู้กำกับ เป้-นฤบดี เวชกรรม ที่ล่าสุดขอกลับมาสร้างสีสันให้กับวงการหนังไทยอีกครั้งกับเรื่องราววัยรุ่นขาสั้นคอซอง ที่ใครจะรู้ว่าจุดเริ่มต้นของเลข 14 มาจากนักร้องสายร็อกระดับตำนาน พี่เป้ระดมทีมเขียนบทจาก Low Season บุกเมืองจันทบุรี รื้อฟื้นความทรงจำในวัย 14 บันทึกเป็นภาพยนตร์โรแมนติก-คอมเมดี้ ในเรื่องและนี่คืออีกผลงานที่จะพิสูจน์ความตั้งใจในการถ่ายทอดความทรงจำในวัยเยาว์และตอกย้ำลายเส้นความคอมเมดี้ชัดขึ้นไปอีกเรื่อง งานนี้ด้วยความปังของภาพยนตร์ดังกล่าว yimyim เลยไม่พลาดไปคว้าตัวพี่เป้มาอัปเดตเรื่องนี้ทันที ไปอ่านกันเลยจ้า

จุดที่พี่เป้เข้ามาเริ่มทำภาพยนตร์อย่างจริงจัง เริ่มจากที่ตรงไหน?
“จริงๆ แล้วพี่เริ่มมาจากภาพยนตร์นั่นแหละ คือเป็นอาร์ตไดเรกเตอร์ในหนังของพี่ “มานพ อุดมเดช” ประมาณ 20-30 ปีแล้วมั้ง เรื่อง “กะโหลกบางตายช้า กะโหลกหนาตายก่อน” จริงๆ ชีวิตพี่มันติดกับหนังมาโดยไม่รู้ตัวตั้งแต่เด็กๆ แล้ว มีหนังที่ไหน เราก็ชอบเอาตัวเองเข้าไปอยู่ใกล้ ไม่ว่าจะเป็นหนังกลางแปลง งานวัดก็จะไปดูตลอด แต่ในสมัยก่อน เด็กต่างจังหวัดคนนึงมันไม่มีอะไรจะเชื่อมโยงให้มาทำอะไรอยู่ในวงการนี้ได้ เรียนนิเทศก็ไม่ได้เรียนมา สุดท้ายพอจบเหมือนเราอยากจะอยู่ในแอเรียของสิ่งที่เราชอบ เราก็จะพาตัวเองเข้าไปใกล้สิ่งที่เราชอบ ใครจะไปทำอะไรกันก็ไป จนมีรุ่นพี่ที่เขาทำเกี่ยวกับทีวีเขาก็ชวนเข้ามาทำ พอมีโอกาสที่มีคนชวนเข้าไปทำอาร์ตไดเรกเตอร์หนัง ตอนนั้นพี่ทำรายการทำโฆษณา พี่ก็เลิกทำเลยแล้วไปทำหนังกับเขา เริ่มตันด้วยการเป็นอาร์ตไดเรกเตอร์ แล้วมันก็ไหลไปเรื่อยทำเรื่องที่ 1, 2, 3 จนสุดท้ายตอนนั้นพี่ทำอยู่บริษัท ลักษ์ 666 ทำสาระแนกับ “เปิ้ล นาคร” มา 10 กว่าปี จนวันนึงก็บอกเปิ้ลบอกว่า เราจะไปละนะ ความฝันของเราคืออยากทำหนัง เปิ้ลบอกเราทำด้วยกันเลยดิทำที่นี่แหละ เลยเริ่มต้นมาทำหนังเรื่องแรกก็เป็นห้าวเป้ง (ห้าวเป้งจ๋า อย่าแกงน้อง) แล้วก็ทำเรื่อยมาจน low season ถึงตอนนี้ เรื่อง 14 อีกครั้ง I Love You Two Thousand”

เมื่อเราเห็นพี่เป้ เรารู้เลยใช่ไหมว่าเราจะได้ชมภาพยนตร์ที่มีความคอมเมดี้?
“อาจจะเป็นความโชคดีที่พี่ไม่ได้เรียนภาพยนตร์มา การทำหนังของพี่เหมือนครูพักลักจำเป็นการเรียนรู้จากครูบาอาจารย์ สิ่งที่อยู่รอบตัวเราหรือแม้แต่คนที่ทำหนังมาก่อนเหตุการณ์ที่มันเกิดขึ้น หรือคาแรกเตอร์ของคนที่เราเจอเหมือนเราเจอเรื่องเล่าเรื่องอะไรเราก็หยิบจับเอามาเพราะในกลุ่มของเราที่เราทำงานกัน ก็มักจะเอาเรื่องจากเรื่องจริง เอามาปั้นให้เป็นบทขึ้นมาแต่วิธีการเล่าของเรา ส่วนใหญ่เราจะเล่าให้มันเป็นเรื่องสนุกมากกว่า ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอกหัก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเศร้า เรารู้สึกว่ามีคนเขาเล่าดราม่ากันเยอะแล้วด้วยนิสัยด้วยกลุ่มเรา เป็นคนที่เล่าเรื่องสนุกๆ ชอบเอ็นเตอร์เทนคนมันก็เลยติดมาว่าเวลาจะเล่าเรื่องอะไรต้องเล่าให้สนุก แต่จริงๆ แล้ว ชีวิตคนเรามันมีหลายเรื่อง มีทั้งดราม่า มีทั้งเศร้า  มีทั้งตลก แต่เราก็เลือกที่จะเล่าให้มันตลกซะเป็นส่วนใหญ่ แต่ดราม่ามันก็ไม่ได้หายไปไหนนะ เราก็อยากจะเล่า  สมมุติในหนัง 1 เรื่อง เรามักจะเล่าเรื่องตลกสัก 80% แล้วก็มีความดราม่าสัก 20% ชีวิตมันก็ต้องมีหลายรสชาติ แต่ไม่ใช่ว่าเราจะต้องเน้นตลกอย่างเดียว ทีมเขียนบทเองก็เข้าใจพาบทออกมาให้สนุกสนานกันได้”

จุดเริ่มต้นของเรื่อง 14 อีกครั้ง มีที่มาที่ไปอย่างไร?
“เมื่อ 2 ปีที่แล้ว  ขับรถไปรับลูกชายอายุ 14 ที่โรงเรียน เขานั่งอยู่ข้างๆ ตอนติดไฟแดงอยู่หน้าโรงเรียน อยู่ๆ ก็มีคนนึงเดินมา เหมือนเขาจะข้ามถนน รถเราอาจจะเลยล้ำที่จอดไปนิดนึง เขาก็เลยเดินมาแปะที่กระจกข้าง เราก็ตกใจเขาทำอะไร เราก็มอง เขาก็มองลูกชาย แล้วก็ยืนยิ้มอยู่แบบนั้น เราก็อ๋อ.. เราคงไปขวางทางเขา แต่เขาก็ไม่ว่าเขาก็ยืนยิ้มอยู่แบบนั้น แล้วเอามือมาแปะกระจกรถด้วย เฮ้ย…พอดูชัดๆ เขาคือ “เสก โลโซ” เราก็ยิ้ม เขาก็ยิ้มแล้วก็เดินอ้อมหน้ารถเราไป วันนั้นมันเป็นสัญญาณว่า ไอ้นี่ 14 (ชี้ไปที่ลูก) นั่นก็เสก โลโซ เพลง 14 มันเหมือนคำว่า 14 อีกครั้งมันผุดขึ้นมาในหัวเลย นั่นแหละเป็นจุดเริ่มต้นของหนังเรื่องนี้  แล้วก็อีกความรู้สึกนึง ปีที่แล้วเราอยู่กับลูก เรากำลังรู้สึกว่าเด็กอายุ 14 พฤติกรรมมันมีความอะไรที่วัยอย่างเราลืมไปแล้วไม่ว่าจะเป็นการกล้าคิด กล้าถาม กล้าตัดสินใจ ไม่ค่อยสนใจว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร เราเรียกสิ่งนี้ว่ามันเป็นความกล้าหาญนี่หว่า กล้าตัดสินใจทำอะไรรวดเร็วมันเหมือนพวกเราที่ตอนนี้เวลาเราจะทำอะไรแต่ละทีเริ่มคิดเยอะบางทีก็ไม่กล้าตัดสินใจ เราย้อนกลับไปดูตอนเราอายุ 14 เราทำอะไรอยู่ ในขณะที่เรามองดูลูกทีมเขียนบทก็เริ่มหาข้อมูล เลยได้ประเด็นว่าเป็นช่วงวัยที่กำลังจะโต กำลังจะมีตัวตนของโลกใบนี้ เพราะฉะนั้นการที่เขาจะไปไหน เขาจะไม่สนหรอกว่าสิ่งนี้ที่เกิดขึ้นมันจะทำลายตัวเขา หรือทำให้ใครว่าเขาแต่ถ้ากูคิดจะทำ ทำเลย ซึ่งถ้าเราเอามาเล่าเป็นหนัง มันสะท้อนความเป็นผู้ใหญ่ได้ ผู้ใหญ่เคยอาจจะผ่าน 14 มาแล้ว แต่ด้วยทุกวันนี้การใช้ชีวิตที่ผ่านมา ความเจ็บ ความทุกข์ที่ผ่านมา เราอาจจะกลัวมากขึ้น ถ้าเรามองย้อนกลับไปตอน 14 สิ เราอาจจะได้ความกล้าหาญกลับคืนมาก็ได้ ก็เกิดเป็นประเด็นขึ้นมา มันจุดประกายออกมาเป็นเรื่อง 14 อีกครั้ง”

แล้วหาตัวละครแต่ละคนยังไง?
“ตอนบทเสร็จโพรดิวเซอร์บอกว่าเราจะเอานักแสดงที่ไหน เพราะว่าต้องเป็นคนที่เพิ่งผ่าน 14 มาได้แค่ 4 ปี จะอยู่ในยุคที่วัยรุ่นหน่อยยังไม่โตมาก แล้วในเรื่องก็จะมีแก๊งเด็ก ซึ่งแก๊งเด็กอายุ 14 ในวงการก็ไม่ได้มีให้เลือกมากนัก  เราไม่อยากได้คนเก่าด้วย เราอยากได้คนใหม่อยากให้คนดูเชื่อไปกับตัวละคร มันยากในการค้นหาเด็กกลุ่มนี้ มันไม่ได้มีภาพใครในหัวหรอก นัทก็ยังไม่มา ณิชาก็ยังไม่มา สักพักก็มีการแคสติ้งก็ได้ “นัทกับณิชา” มา มันเหมือนเขามาเพื่อให้เราเห็นเคมีของทั้งคู่ ในเรื่องกิ๊บกับต้อเขาต้องเล่นเป็นเพื่อนกันมาตั้งแต่สมัยเด็ก เออ มันเข้าท่าเข้าคู่กันได้ดีมากตั้งแต่วันแคสติ้งเลย อย่างนัทที่มารับบทเป็น ต้อ (ณัฏฐ์ กิจริต) ที่เราเคยเห็นใน “โฟร์คิง”เคยเห็นใน “Fast & Feel Love เร็วโหด..เหมือนโกรธเธอ เขาก็มีคาแรกเตอร์ของเขาอีกแบบ ดราม่าแล้วก็จริงจัง แต่นัทที่มารับบทเป็นต้อ คาแรกเตอร์เป็นคนไม่คิดอะไร เป็นคนปล่อยจอย ปล่อยไหลไปกับชีวิตไม่มีเป้าหมาย ไม่มีอะไร แต่จริงแล้วข้างในมันมีอยู่ ทีนี้มาถึงตัวละคร กิ๊บ (ณิชา-ณัฏฐณิชา ดังวัธนาวณิชย์) มันเหมือนคนที่แบกโลกเอาไว้ เขาเรียนเก่ง ทะเยอทะยาน ตัวกิ๊บก็มีการแบกกับสิ่งเหล่านี้ ซึ่งตอนแคสติ้งณิชาก็เล่าประสบการณ์ของตัวเองในชีวิตให้เราฟัง นี่มันคือกิ๊บเลยนี่หว่า คือเราเห็นณิชาในละครเราไม่เคยรู้เลยว่าจริงแล้วตัวเขาก็มีความกดดันแบบนี้อยู่ในตัวเหมือนกัน เราก็เลยคิดว่าณิชาเขาก็น่าจะเข้าใจตัวละครในตัวนี้มากที่สุดนะสำหรับคนที่มาแคสต์มาทั้งหมด”

“สำหรับนัทเขาบอกว่าในปีที่เข้ามาแคสติ้งหนังเรื่อง 14 เขาเองก็กำลังอยากจะได้เล่นหนังที่ไม่ต้องเครียด ผมอยากจะปล่อยไหล ซึ่งมันก็พอเหมาะกับคาแรกเตอร์ที่เรากำลังต้องการพอดี ส่วนกลุ่มเด็กๆ อายุ 14 อันนี้ลำบาก การแคสติ้งหาเด็กแก๊งหัวหมา เหมือนมันงมเข็มในมหาสมุทร มันเป็นส่วนที่ยากที่สุดเลย โพรดิวเซอร์ บอกว่าแล้วเราจะหามาจากไหนก็ต้องเริ่มแคสติ้ง เริ่มจากให้เด็กๆ ส่งรูปกันมาจากทั่วประเทศ มีเยอะมากหลายคน พอมาแคสติ้งมันก็ค่อยเริ่มชัดเจนขึ้น เพราะเด็กกลุ่มนี้อายุ 14 มันเริ่มมีความรักเริ่มอยากจะลองของ อยากจะเฮี้ยว อยากจะเป็นผู้ใหญ่ อยากซ่ามันก็คือต้องแคสต์เอาตัวเขาออกมาให้ได้ แล้วน้องๆ ก็ได้จากที่แคสติ้งกันมา ซึ่งค่อนข้างที่จะตรงกับบทที่เราต้องการเลยด้วยนะเรียกว่า 80% เลยนะที่มันตรงกับความคาดหวัง น้องๆ อาจจะสดใหม่สำหรับภาพยนตร์ แต่ในความธรรมชาติของเขาทุกคนที่ได้มา มันตรงมันเหมาะเลยนะสำหรับพี่”

“นัท กับณิชา เราพยายามทำให้เขาเข้าใจ ในความเป็นคนจังหวัดจันทบุรี อยู่ในเมืองเล็กๆ ที่ไม่ได้หวือหวา มีชีวิตเรียบง่าย บ้านกิ๊บจะเป็นบ้านที่มุ่งมั่นเรียนเก่ง เป็นความหวังของครอบครัว ไปเติบโต ไปเรียนให้สูงๆ เก่งๆ แต่ต้อคือกลับกัน เป็นตัวละครที่ไม่ไปไหน ฉันอยากอยู่บ้านฉัน ฉันมีความสุข มีความสบาย ก็ทำความเข้าใจกันในเวิร์กช็อปว่า ตัวต้อเป็นแบบนี้ กิ๊บเป็นคนแบบนี้ ซี่งในตอนแรกนัทก็จะซึมซับจากบทที่เราเขียน เขาก็ทำการบ้าน ตีความว่าต้อมันต้องเป็นคนแบบไหน มันผูกพันกับกิ๊บมาแบบไหน เขามักจะมาถามว่าอันนี้ต้อคิดแบบนี้ไหม แล้วถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้ต้อเขาจะทำยังไง นัทเขาเป็นคนที่ทำการบ้านละเอียดเยอะมาก แต่พอตอนถ่ายตามบทได้สักประมาณ 3-4 ซีน ที่มันก็ไหลไปตามอารมณ์ สมมุติว่าบทมันไปขวา นัทก็จะไปซ้าย เราก็ถามว่าทำไมทำแบบนั้นล่ะ เขาก็บอกว่าเขาคิดไว้อีกแบบนึง มันน่าจะเป็นแบบนั้นแบบนี้ ซึ่งตอนหลังเราก็ให้เขาเล่นเอาไว้ สามแบบสี่แบบอะไรก็ว่าไปจนเราจะมีคำพูดติดกองเลยว่า “แล้วแต่นัท”

นัทมีการตีความเองด้วย เป็นอย่างไร?

“นัทเขาตีความจนเข้าใจตัวละครแล้วว่ามันควรจะเป็นแบบไหน ต้อมันน่าจะเป็นตัวกระด๊อกกระแด๊กหน่อย เขาจะสังเกตคนในอำเภอแล้วเขาจะมาบอกว่าจะเล่นแบบนี้นะ เขาจะมีข้อมูลรอบตัวเอามาใส่ตัวละคร ซึ่งไม่ได้ทำเพื่อเผื่อเลือกแต่มันเป็นการเพิ่มตัวตนของตัวละครให้มากกว่าบท แล้วออกมาโอเคเลย ส่วน ณิชา เขามีอินเนอร์ในชีวิตจริงที่มันคล้ายกิ๊บอยู่แล้ว เราแค่บอกณิชาว่า ให้ดึงส่วนตรงนั้นมาใช้ในความเป็นกิ๊บดึงความสุขความสนุกในตอนที่เป็นเด็กออกมา เขาก็เป็นกิ๊บได้ในทันทีเพราะณิชาเองก็เป็นเด็กต่างจังหวัดคนเชียงใหม่ เขาเล่าประสบการณ์ตอนเด็กๆ เอามาแชร์ร่วมกัน เขาเคยเจออะไร เขาเที่ยวเล่นกับเพื่อนยังไงก็แลกเปลี่ยนกันณิชาคิดยังไง มีการตีความตัวละครว่ายังไงมันไม่ยากเลย นัทกับณิชา มันเป็นขั้วตรงข้ามกันอย่างที่เราต้องการคือไอ้ผู้ชายก็ชอบแหย่ ชอบเล่น ไอ้ผู้หญิงก็ไม่อยากยุ่ง ซึ่งพอเวลาที่เขาเข้าซีนกันแล้วมันยิ้ม แล้วมันมีความอิมโพรไวส์ของนัท แล้วก็มันมีความจู้จี้ตัดบทไม่อยากยุ่งของณิชา เออ เราก็รู้สึกว่ามันได้ ตอนที่เราเขียนบทเราก็คิดอยู่ว่าน้องจะต้องมาให้ถึงจุดนี้น้องจะเข้าใจแล้วก็ไหลไปกับตัวละครได้ไหม เป็นกิ๊บกับต้อได้ไหม พอเล่นจริงคือมันได้ เขาค้นกันเจอ ชอบทุกซีนของคู่นี้เลย เรายิ้มตามพวกเขาได้”

ทำไมต้องมาเล่าเรื่องที่จังหวัดจันทบุรี?
“เพราะว่ามันเป็นภาพติดตา เป็นความทรงจำ เพราะเราเกิดที่นั่น โลเคชั่นที่เราอยากเล่าที่สุดก็เป็นบ้านเราเอง ก็เลยพาทีมงานทีมเขียนบททุกคน ย้อนกลับไปเพื่อรีเสิร์ชทุกซอกทุกมุมของอำเภอขลุงเพื่อที่จะแลกเปลี่ยนความคิดเห็นระหว่างกันว่าถ้าคนที่เขาไม่เคยอยู่แบบเรา เขากลับมามองแล้วเขารู้สึกยังไง เราก็เอาข้อมูลตรงนั้นกลับมาใช้ด้วย ทีนี้การกลับมาบ้าน มันเหมือนได้รื้อฟื้นความทรงจำเมื่อตอนที่เราอายุ 14 อีกครั้งนึง ซึ่งทีมเขียนบทก็เป็นคนที่นั่นเหมือนกัน มันก็เลยสามารถจูนกันได้ แล้วเวลาที่เราไปที่ขลุงภาพทุกซอกทุกมุมมันผุดขึ้นมามันเหมือนได้รีมายด์ของจริงจากเรื่องจริงเราจะได้เห็นอะไรแบบ Low Season ไหม เช่นพวกโลเคชั่นว้าวๆ มันก็คงไม่ถึงขนาดนั้น ปรกติที่ขลุงก็ไม่ใช่ที่เที่ยวหลักอยู่แล้ว แต่เรียกว่าเรื่องนี้มันมีบรรยากาศของบ้านเมืองเล็กๆ มากกว่า มีความรู้สึกมีเรื่องราวที่เกิดขึ้นตรงนั้น แค่คิดว่าอยากเล่าเรื่องที่นี่ ไม่มีที่ไหนที่จะเหมาะที่จะเล่าจากความทรงจำของเรา ซึ่งก็คือวิถีของคนจันทบุรีเขา ผูกพันกับทะเล ภูเขา น้ำตก บ้านเรือนคนที่คนดูอาจจะซึมซับได้เอง อย่างบางที่เราก็ไม่ได้ตั้งใจไว้ มันก็เป็นการเซอร์เวย์ เมื่อก่อนมันยังไม่มีโฮมสเตย์ รีสอร์ตในสมัยนี้กับ 20 ปีที่แล้ว มันค่อนข้างที่จะหายากมันเปลี่ยนไปหมด แล้วเราก็ไปเจออยู่ที่นึงมันเป็นเหมือนชายหาดเงียบๆ เป็นเวิ้งที่พักของชาวประมง แล้วมันก็มีเรือลำใหญ่มากของชาวประมงที่เขาไม่ใช้แล้ว จอดอยู่ประมาณ 4-5ลำ เราก็สนใจว่ามันคือจอดเอาไว้ทำอะไร”

“พอเข้าไปดูเราก็จะเห็นว่าเขาพยายามทำให้เรือเป็นรีสอร์ตเป็นห้องพัก มันสวยมากเลยยิ่งกลางคืนเขาตกแต่งไฟเอาไว้สวยเลย น่าจะเป็นไฮไลต์ใหม่ได้เลยนะ คือ มันเป็นความบังเอิญของเราส่วนนึงนะที่นี่ส่วนอีกหลายจุดของเรื่องนี้ที่อยากจะพูดถึง อย่างเช่น น้ำตกตรอกนอง ถ้าคนจะไปจันทบุรีคนก็มักจะไปน้ำตกพลิ้วแต่ถ้าเป็นขลุงวัยรุ่นเขาขี่มอเตอร์ไซค์ไปเล่นกีตาร์กันมันคือที่น้ำตกตรอกนองมันมีเสน่ห์ตรงที่คนมันไม่เยอะ มีจุดที่สงบเป็นส่วนตัวและสวยงามเป็นจุดที่ตัวละครกิ๊บกับต้อมันว้าวุ่นมันจะมาฮีลใจอะไรของมันอยู่ตรงนี้ แล้วก็สถานที่หลักเช่นในอำเภอขลุง บ้านเรือนคนเป็นบ้านไม้บ้านเก่ามันเป็นเมืองที่มันไม่เปลี่ยน ไม่ต้องพูดถึง 20 ปีนะ พูดถึง 30-40 ปี ก่อนหน้านี้ยังอยู่ยังไงมันก็เป็นอย่างนั้น แบบเดิมๆ คนเขาก็ไม่ยอมเปลี่ยน ซึ่งเราคิดว่ามันมีเสน่ห์มากเลย เพราะทุกวันนี้มันเปลี่ยนเร็วในแต่ละที่มันก็ยิ่งเหมาะเลยที่จะเล่าเรื่องในยุคของหนัง และก็ทำงานกันง่ายขึ้น”

ในเรื่องนี้มีจุดไหน ส่วนไหนที่พี่ประทับใจบ้างไหม?
“ในซีนที่ถ่ายมาแล้วชอบ มันก็มีอยู่หลายซีนแต่ซีนที่รู้สึกว่าประทับใจคือซีนที่อยู่ในห้องซ้อมดนตรีของต้อกับกิ๊บมันเป็นช่วงที่ต้อกับกิ๊บอยู่ด้วยกัน กิ๊บแต่งเพลงต้อร้องมันมีความสดของนัทกับณิชาอยู่ ให้โจทย์ไม่ต้องเยอะ เราก็แค่บอกว่านี่คือตอน ม.3 ต้อเป็นคนที่เล่นกีตาร์เก่ง มีวงในช่วงสมัยเรียน กิ๊บเป็นคนที่ชอบวาดรูปเขียนเพลง อ่านหนังสือ แล้วกิ๊บก็เขียนเพลงให้ต้อก็เอาไปร้องแล้วมันก็ได้ความสดของเขาทั้งคู่ ฉากที่พี่ชอบส่วนใหญ่เป็นฉากที่นัทกับณิชาเข้าซีนด้วยกัน มันจะได้เคมีที่แปลกไปอีกแบบนึงมันเป็นแบบฉบับที่เราจะไม่เคยได้เห็นนัทเป็นแบบนี้และณิชานางเอกในแบบที่เราเคยเห็น (หัวเราะ)”

อุปสรรคมันทำให้มีเหตุการณ์คาดไม่ถึงบ้างไหม?
“ก็มีนะ ฉากที่เล่นผีถ้วยแก้วมันเป็นฉากที่เด็กทุกคนต้องไปเข้าค่ายภาษาอังกฤษ สมัยก่อนก็ไม่รู้ทำไมค่ายฤดูร้อนภาษาอังกฤษต้องไปจัดในวัด ซึ่งมันอาจจะเป็นเพราะว่าวัดให้สถานที่ฟรีเป็นที่พักสำหรับเด็กหลายคน แล้วก็ไอ้การที่เข้าค่ายในวัด เราต้องไปหาโลเคชั่นที่วัด แล้ววัดที่เราไปถ่ายเราไปเสิร์ช google ก็คือว่าเป็นที่น่ากลัวเป็นอันดับ 1 ใน 10 ของประเทศอะไรแบบนี้เลยนะ เราก็อ้าว เออไม่เป็นไร ก็แค่อย่าไปลบหลู่ก็แล้วกัน แต่ซีนที่เราไปถ่ายเป็นซีนเล่นผีถ้วยแก้ว  มันก็เกิดการทั้งหลอนทั้งกลัวแล้วในขณะถ่ายมีคนผีเข้าด้วย มีผู้หญิง 2 คนมาหน้าโบสถ์มายกมือไหว้ร้องโหยหวน จนเราต้องให้ทีมงานไปดูแล้วโพรดิวเซอร์ก็ไปดูให้นะ เพราะว่าเราทำต่อไม่ได้เสียงมันกวนถ่ายกันจนดึกมากเลย เล่นผีถ้วยแก้วเอย วิ่งกรี๊ดกันอยู่ข้างโบสถ์เอย คือหลอนเลยล่ะ วุ่นวายด้วยเพราะนักแสดงครบเลย”

คนดูจะได้อะไรจาก 14 อีกครั้ง?
“มีความสุข เราอยากให้ย้อนกลับไปในสมัยที่เราอายุ 14 กันอีกครั้งนึง เราลองย้อนกลับไปรีมายด์ เราเกิดความรักครั้งแรกตอนนั้นหรือเปล่ารัก ครั้งแรกตอนนั้นเราทำอะไรแล้วเรามีความสุขกับกลุ่มเพื่อนไปร่วมผจญภัยร่วมกันไหมหรือเรามีประสบการณ์อะไรที่แตกต่างจากที่หนัง เราอยากให้ทุกคนกลับไปคิดถึงในช่วงเวลานั้น แล้วทำให้ทุกคนสนุกกับชีวิตมีความกล้าหาญตัดสินใจอะไรในชีวิต เพราะเราว่าตอนอายุ 14 มันมีความกล้าหาญมันมีความน่ารักมีเสน่ห์ในชีวิตมากสุดแล้ว ตอนที่เราเป็นเด็กก็อยากให้ผู้ชมมีความสนุกสนานกับหนังเรื่องนี้ครับ”

แหม..เรียกว่าจัดเต็มที่มาและความปังของภาพยนตร์แบบรัวๆ ทีเดียว ซึ่งบอกเลยว่ากว่าจะได้ภาพยนตร์เรื่องนี้มา มันไม่ง่ายเลย และเชื่อว่าหลายคนที่ได้ดูภาพยนตร์เรื่องนี้จะมีความสุขและแฮปปี้ไปกับภาพยนตร์แน่นอนจ้า แล้วพบกันจ้า


คอลัมน์ “1 Day With ซุปตาร์”

โดย yimyim