องค์กรสิทธิมนุษยชน “ฮิวแมน ไรท์ส วอทช์” (เอชอาร์ดับเบิลยู), สหภาพยุโรป (อียู) และรัฐบาลต่างประเทศ 10 แห่ง ระบุว่า การละเมิดสิทธิยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในเอธิโอเปีย แม้รัฐบาลบรรลุข้อตกลงสันติภาพในกรุงพริทอเรีย ประเทศแอฟริกาใต้ เมื่อวันที่ 2 พ.ย. 2565 ก็ตาม
ความขัดแย้งที่มีมานาน 2 ปี ระหว่างกองกำลังที่ภักดีต่อรัฐบาลของนายกรัฐมนตรีอาบีย์ อาเหม็ด อาลี ผู้นำเอธิโอเปีย กับแนวร่วมปลดปล่อยชาวทิเกรย์ (ทีพีแอลเอฟ) คร่าชีวิตผู้คนไปแล้วราว 500,000 ราย ตามข้อมูลของสหรัฐ ซึ่งทุกฝ่ายกล่าวหาถึงการกระทำที่โหดร้ายทารุณ เช่น การสังหารหมู่ และการข่มขืน
แม้ข้อตกลงที่มีสหภาพแอฟริกา (เอยู) เป็นคนกลาง สามารถยุติการต่อสู้ในภูมิภาคทิเกรย์ได้ ทว่าตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา การปะทะกลับปะทุขึ้นในพื้นที่ส่วนอื่นของเอธิโอเปีย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภูมิภาคอัมฮารา ซึ่งมีกองกำลังที่สนับสนุนทหารของรัฐบาลกลางในช่วงสงคราม
นอกจากนี้ เอชอาร์ดับเบิลยู ยังระบุเสริมว่า กองกำลังของเอริเทรีย ซึ่งให้การสนับสนุนอาบีย์ในช่วงเวลาของความขัดแย้ง ลงมือสังหาร, ใช้ความรุนแรงทางเพศ, ลักพาตัว, ปล้นสะดม ตลอดจนขัดขวางความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม และการทำงานของผู้สังเกตการณ์จากเอยู ภายหลังการบรรลุข้อตกลงสงบศึกถาวรในภูมิภาคทิเกรย์
อนึ่ง การตัดสินใจของรัฐบาลกลาง ในการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินเป็นเวลา 6 เดือน เมื่อช่วงต้นเดือน ส.ค. ที่ผ่านมา ในภูมิภาคอัมฮารา ทำให้เกิดความกลัวเช่นกัน โดยคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญด้านสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศในเอธิโอเปีย (ไอซีเอชอาร์อีอี) ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากสหประชาชาติ (ยูเอ็น) กล่าวเตือนถึงการละเมิดที่เพิ่มขึ้นในภูมิภาคนี้
ด้านคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนเอธิโอเปีย (อีเอชอาร์ซี) ซึ่งเป็นหน่วยงานอิสระของรัฐบาลกลาง ระบุเพิ่มเติมว่า การใช้อาวุธหนัก และการทิ้งระเบิดทางอากาศในภูมิภาคอัมฮารา ทำให้พลเรือนจำนวนมากเสียชีวิต, ได้รับบาดเจ็บ และกลายเป็นผู้พลัดถิ่น พร้อมกับประณามกองกำลังความมั่นคงของประเทศ ซึ่งประหารชีวิตพลเรือนที่ถูกจับกุม รวมถึงกลุ่มติดอาวุธที่ลอบสังหาร และลักพาตัวผู้นำพลเรือนในท้องถิ่นด้วย
อีกด้านหนึ่ง แม้สถานทูตของ 10 ประเทศ อาทิ สหราชอาณาจักร, ออสเตรเลีย, นอร์เวย์, แคนาดา และญี่ปุ่น ยกย่องข้อตกลงภูมิภาคทิเกรย์ว่าเป็น “ความสำเร็จครั้งสำคัญ” แต่พวกเขากล่าวเตือนว่า มันจำเป็นต้องมีการดำเนินการมากกว่านี้ เพื่อปกป้องและตระหนักถึงสันติภาพ ท่ามกลางการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างต่อเนื่อง
ขณะเดียวกัน กลุ่มสิทธิหลายกลุ่ม ต่างแสดงความกังวลเกี่ยวกับการยกเลิกคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนที่ได้รับการสนับสนุนจากยูเอ็น เมื่อเดือนที่แล้ว ซึ่งองค์การนิรโทษกรรมสากล “แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล” อธิบายว่า ความเคลื่อนไหวข้างต้นเปรียบเสมือน “การทรยศต่อเหยื่อของความโหดร้าย”.
เลนซ์ซูม
เครดิตภาพ : AFP