เริ่มต้นปีมังกร… หลายคนยังตั้งข้อสงสัยว่าแล้ว!! จะเป็นมังกรทอง หรือมังกรไฟ กันแน่?

หลากหลายกูรูด้านเศรษฐศาสตร์ ต่างฟันธงไปในทิศทางเดียวกันว่า ต่อให้มีสารพัดปัจจัยเสี่ยงทางด้านเศรษฐกิจ แต่ก็เชื่อได้ว่า เศรษฐกิจจะขยายตัวได้แน่อย่างน้อยก็ 3.2-3.5%

ณ วันนี้ รัฐบาลของนายเศรษฐา ทวีสิน ได้ผ่านศึกซักฟอกงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 ยกแรก วงเงิน 3.48 ล้านล้านบาทไปแล้ว คงเหลือในขั้นตอนของกรรมาธิการ วาระ 2  และวาระ 3 มีการคาดการณ์กันว่า…สุดท้ายแล้ว…การเบิกจ่ายงบประมาณปี 67 จะดำเนินการได้ในราวเดือนพ.ค.นี้ แม้ช้ากว่าที่เคยปฎิบัติมานานถึง 2  ไตรมาสก็ตามแต่!! การนำเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ ตามกฎหมายงบประมาณก็จะเกิดขึ้น ซึ่งก็ถือเป็นอีกหนึ่งเครื่องยนต์สำคัญที่ช่วยให้เศรษฐกิจไทยขับเคลื่อนเดินหน้าต่อไปได้

นอกเหนือไปจากการเร่งเครื่อง จากเครื่องยนต์การส่งออก การท่องเที่ยว หรือแม้แต่เครื่องยนต์การบริโภค การใช้จ่ายในประเทศ ที่ยังฝากความหวังไว้กับโครงการเงินดิจิทัล วอลเล็ต 10,000 บาท ที่ไม่รู้ว่าจะคลอดออกมาได้หรือไม่ และคลอดออกมาได้เมื่อใด

แม้การใช้จ่ายเงินงบประมาณ เป็นส่วนหนึ่งของการขับเคลื่อนประเทศ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจให้เดินหน้า แต่ก็มีปัจจัยเสี่ยงสารพัด ที่ท้าท้ายที่เป็นตัววัดฝีมือของรัฐบาลโดยเฉพาะอย่างยิ่ง!! ปัจจัยเสี่ยงในเรื่องของการเบี้ยวจ่ายหนี้หุ้นกู้ ที่ถือเป็นปัจจัยภายในประเทศ ที่บรรดาภาคธุรกิจต่างแสดงความกังวลไม่น้อย

ด้วยเพราะ…สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในปี 66 ที่ผ่านมา มีบริษัทจดทะเบียนขนาดใหญ่ที่ประสบปัญหาสภาพคล่อง จนไม่สามารถชำระคืนหนี้หุ้นกู้ตามระยะเวลาได้

จนกระทั่งต้องใช้กระบวนการตามกฎหมาย เพื่อเรียกร้องให้เจ้าหนี้ หรือผู้ถือหุ้นกู้ได้รับการชำระหนี้คืน แม้ต้องใช้เวลานานก็ตาม

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปี 66 แม้มีบริษัทจดทะเบียนไม่มากที่มีปัญหาเรื่องการชำระหนี้หุ้นกู้ แต่ก็เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อเนื่องกันเป็นลูกโซ่ จนสร้างความกังวล ความไม่สบายใจให้กับนักลงทุน

ขณะที่ในปี 67 นี้ มีหุ้นกู้ระยะยาวที่ครบกำหนดชำระ 8.9 แสนล้านบาท โดยในจำนวนนี้เป็นหุ้นกู้ประเภทดอกเบี้ยสูง หรือไฮยีลด์บอนด์ มูลค่ากว่า  5 หมื่นล้านบาท ที่ส่วนใหญ่เป็นกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ไฟแนนซ์ พลังงาน

สถานการณ์หุ้นกู้ ได้กลายเป็น “ความเสี่ยง” ที่ต้องจับตามอง หากมีความต้องการออกหุ้นกู้ใหม่ เพื่อโรลโอเวอร์ หรือใช้หนี้เดิมจำนวนมาก บริษัทที่ออกหุ้นกู้เหล่านั้น จะมีปัญหาเดิม ๆ จะยังยืดเยื้อต่อ หรือปัญหาจะลามไปยังบริษัทจดทะเบียนอื่นหรือไม่?

Free photo collage of finance banner concept

สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย บอกว่า หุ้นกู้ไฮยีลด์มีปัญหาจากที่มีบางบริษัทที่เป็นแกะดำมาใช้ช่องในตลาดทุน ทำให้ตลาดเกิดปัญหา แต่ก็ยังมีในบริษัทที่ดี ให้เลือกลงทุนได้อีกมาก

ขณะเดียวกันก็ได้จับตามองและให้ความสำคัญกับหุ้นกู้ไฮยีลด์ ที่ครบกำหนดที่มีความเสี่ยงผิดนัดชำระหนี้ มูลค่าประมาณ 50,000 ล้านบาท  ซึ่งหุ้นกู้เหล่านี้ต่างมีสินทรัพย์เป็นหลักประกัน

แนวทางสำคัญที่จะสามารถล้อมคอกหรือป้องกันไม่ให้เกิดประวัติศาสตร์ซ้ำรอย ด้วยการออกข้อปฎิบัติที่เข้มงวดมากขึ้น ทั้งเรื่องของการก่อหนี้เพิ่ม การจ่ายเงิน การก่อภาระผูกพันบนทรัพย์สิน แม้แต่การทำธุรกรรมของบริษัทในเครือ

ทั้งนี้…ก็เพื่อให้ความมั่นใจแก่ผู้ลงทุนว่า…บริษัทผู้ออกหุ้นกู้ไฮยีลด์ไปแล้ว จะดำรงสถานะทางการเงินในระดับที่เหมาะสม ไม่ก่อหนี้สินเกินตัว เพื่อให้มีสภาพคล่องเพียงพอในการชำระดอกเบี้ยและคืนเงินต้นตามเงื่อนไขได้

หรือแม้แต่การประสานงานกับตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เพื่อให้การเปิดเผยข้องมูลทางการเงินของบริษัทจดทะเบียน มีข้อมูลที่เท่าเทียมกัน เช่น ข้อมูลหนี้ ก็ต้องมีข้อมูลด้านหุ้น ให้นักลงทุนหุ้นกู้ได้ทราบ  รวมถึงการผิดนัดชำระหนี้ในตลาดบอนด์ นักลงทุนในตลาดทุนต้องทราบเหมือนกันด้วย

Business person in futuristic business environment

ด้านกระทรวงการคลัง และแบงก์ชาติเอง ก็ได้ติดตามสถานการณ์ หุ้นกู้ ที่จะครบกำหนดชำระในปี 67 นี้อย่างใกล้ชิด พร้อมเล็งหาทางป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาเดิม ๆ ขึ้นอีก

ทั้งหลายทั้งปวง … การลงทุนทุกชนิดต่างมีความเสี่ยง ไม่ว่าจะเป็นตลาดหุ้น หรือหุ้นกู้ ก็ตาม นักลงทุนก็ต้องศึกษาข้อมูลให้ดีให้รอบด้านก่อนตัดสินใจ เพราะหากเลือกเพียงอัตราดอกเบี้ยสูง ๆ ที่ยั่วยวน ก็อาจต้องมานั่งเสียใจภายหลังได้เช่นกัน!!

……………………………………….
คอลัมน์ : เศรษฐกิจจานร้อน
โดย “ช่อชมพู”