เป็นประเด็น“ล่อแหลม” แต่ถึงเวลาควรถกเถียงกันจริงจัง เมื่อโลกมีแต่หมุนไปข้างหน้า   เพียงหยุดนิ่งอยู่ที่เดิมก็ไม่ต่างจาก…ถอยหลัง

เรื่องเพศและความสัมพันธ์ก็เช่นกัน กรณีจับกุม“น้องไข่เน่า” ชื่อในวงการของ sex creator  สาววัย 19 ปี พร้อมแฟนหนุ่ม หลังเปิดรับสมาชิกแบบจ่ายเงินแลกเข้าดูคอนเทนต์“เซ็กซ์”ผ่านแพลตฟอร์ม only fans จนสร้างรายได้รวดเร็วช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา กำลังยื่นโจทย์ท้าทายใหม่ให้สังคมไทย เมื่อรอบนี้จำนวนไม่น้อยมองว่า เราควรเงยหน้าแล้วมองความจริง มากกว่าก้มหน้าแถมมือปิดตา พร่ำว่าคือ“เมืองพุทธ”

เมื่ออย่างน้อยการเปิดตาก็ทำให้เห็นความจริง เห็นสิ่งควรแก้ไขที่เกิดขึ้นตามกาลเวลา “จะเด็จ  เชาวน์วิไล”   ผอ.มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล  หนึ่งในผู้มีโอกาสสัมผัสติดตามปัญหาเรื่องเพศ  การใช้ความรุนแรง และครอบครัว ชี้ถึงสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจากกรณีน้องไข่เน่า  ถือเป็นตัวแทนสะท้อนภาพ“ความจริง”ที่ต้อง“ยอมรับ”

จากที่มีข้อมูลเปิดเผยก่อนหน้านี้ถึงประสบการณ์ไม่น่าจดจำของน้องไข่เน่าที่เกิดขึ้นในวัย 17 ปี ผอ.มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล เผยว่า จากการเก็บสถิติความรุนแรง การคุกคามทางเพศ  ช่วงอายุ 10-20 ปี เป็นวัยที่ถูกคุกคามทางเพศมากสุด และส่วนใหญ่มาจากคนใกล้ตัว เช่น พ่อ พ่อเลี้ยง ลุง อา แฟน ดังนั้น กรณีน้องไข่เน่าจึงตอกย้ำสภาพความจริงปัญหาในสังคมไทย ขณะที่ประสบการณ์เลวร้ายไม่ถือเป็นปัจจัยที่นำไปสู่จุดเปลี่ยนว่าต้องเกี่ยวข้องกับการเลือกทำบางอาชีพที่สังคมยังไม่ยอมรับ  เพราะหลายคนที่อยู่ในเส้นทางนี้ก็ไม่ได้มีเบื้องหลังผ่านความรุนแรงมาก่อน 

สถานการณ์ปัจจุบันเป็นสิ่งที่ต้องยอมรับว่าสังคมไทยกลับไปแบบเดิมไม่ได้อีกแล้ว  จากประสบการณ์ตัวเองสมัยเด็กหลายสิบปีก่อน จะเห็นความสัมพันธ์ของเพื่อนช่วงเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนซึ่งเป็นเรื่องธรรมชาติตามวัย แต่ก็ถูกปิดบัง ถูกห้าม หรือได้รับผลกระทบถึงขั้นไล่ออก  แต่วันหนึ่งก็ต้องยอมรับความจริงและมีพ.ร.บ.การป้องกันและการแก้ไขปัญหาตั้งครรภ์ในวัยรุ่น  เพื่อให้เด็กที่ตั้งครรภ์ยังมีโอกาสเรียนได้  นอกจากนี้ ยังมีกรณีบอกว่าไม่ควรสอนเรื่องเพศ เพราะเหมือนชี้โพรงให้กระรอก  แต่ก็ห้ามไม่ได้จนต่อมามีหลักสูตรเพศวิถีศึกษาเกิดขึ้น

“สิ่งเหล่านี้กำลังสะท้อนว่าจะมาหยุดยั้งเรื่องนี้เหมือนในอดีตที่ว่าผู้หญิงต้องรักนวลสงวนตัว ผู้หญิงต้องเป็นคนดี ในขณะที่อีกเพศไม่เคยสอนว่าต้องทำอย่างไร  ในรุ่นผมเห็นชัดถึงการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นแล้ว แต่สิ่งที่ยังเป็นปัญหาคือบุคลากร ระบบการศึกษายังยอมรับเรื่องนี้ช้ามาก ทั้งที่มีกฎหมายแล้วแต่บางคนไม่รับและเลือกตำหนิเด็ก”

อย่างไรก็ตาม แนะสิ่งที่รัฐควรทำมากที่สุดขณะนี้คือปรับตัวให้เข้ากับปัจจุบัน โดยเฉพาะการเกิดขึ้นของ “แพลตฟอร์ม”ต่างๆที่จะเข้ามากลบสื่อกระแสหลัก  หากผิดเพราะกฎหมายที่ใช้ล้าหลังก็ถึงเวลาแก้ไข เปิดรับความคิดใหม่และมีกลไกควบคุมดูแล  แทนที่จะใช้กฎหมายเดิมๆ แล้วบอกว่าต้องเชือดไก่ให้ลิงดูซึ่งไม่มีทางชนะ เพราะในอนาคตจะมีลักษณะแบบนี้เกิดขึ้นมายมาย ย้ำว่าต้องปรับกฎหมายให้เท่าทัน  และถกเถียงกันในสังคมว่ารับได้แค่ไหน ต้องควบคุมอย่างไร  ภายใต้เงื่อนไขไม่ไปละเมิดสิทธิ์คนอื่น เพราะคนเหล่านี้ไม่ใช่อาชญากร

ผอ.มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล  กล่าวต่อว่า  อาชีพบริการเกิดขึ้นมานานหลายยุคสมัย ส่วนใหญ่ทำเพื่อเลี้ยงตัวเอง เลี้ยงครอบครัว มาจนถึงวันนี้ถือเป็นอาชีพทางเลือกหนึ่งในสังคมที่มาจากความสมัครใจได้ พร้อมตั้งข้อสังเกต ทางเลือกในอาชีพสำหรับผู้หญิงยังไม่เท่าเทียบกับผู้ชาย โดยเฉพาะโอกาสเติบโตบางสายอาชีพต้องใช้การความพยายามที่มากกว่าผู้ชายในการพิสูจน์ตัวเอง หรือหาความก้าวหน้าในอาชีพ

สำหรับข้อห่วงใยวิกฤติเศรษฐกิจอาจผลักให้บางคนต้องขาย“ต้นทุน”ชีวิตเพื่อเอาตัวรอดนั้น  ผอ.มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล มองว่าวิกฤติสุขภาพจากโรคระบาดที่ทับซ้อนกับปัญหาสังคม จะยิ่งทำให้ทางเลือกอาชีพน้อยลง  และมีโอกาสที่เส้นทางดังกล่าวจะถูกเลือกมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ในความเป็นมนุษย์เชื่อว่าทุกคนมีศักดิ์ศรี ไม่ว่าจะทำอาชีพใด แต่เพราะเงื่อนไขที่ถูกกดทับ เอาเปรียบ หลายคนจึงเลือกเพราะต้องเอาตัวรอด 

“กฎหมายเรื่องแพลตฟอร์มพวกนี้ต้องทำให้ทันสมัย คนทำอาชีพนี้จะได้รู้ว่าจะเจออะไรในอนาคต ทำอย่างไรจะไม่ทำเนื้อหาละเมิดคนอื่น  เชื่อว่าสุดท้ายกฎหมายต้องเปลี่ยน เพราะโลกเปลี่ยนไปไกลแล้ว ไม่เกิน 5-10 ปี สังคมจะเปลี่ยนไปไวมาก  คนรุ่นใหม่จะเข้ามาดูแลสังคมแทนที่รุ่นเก่า  จะนั่งย้อนยุคไปคงไม่ได้”

ที่สำคัญในอนาคตการเลือกทำอาชีพอิสระและแพลตฟอร์มที่เปิดให้คนทำอาชีพอิสระได้ก็จะมีเต็มไปหมด สิ่งที่ทำได้คือต้องเรียนรู้กลไกควบคุมไม่ให้เกิดปัญหา ไม่ใช่การห้าม.             

ทีมข่าวอาชญากรรมรายงาน

[email protected]