20.30 น. ของวันเสาร์ที่ 26 ก.ย. แฟนบอลลิเวอร์พูล ถูมือด้วยความกระหยิ่มยิ้มย่อง หลังทั้ง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด และ เชลซี ที่ลงเตะในเวลา 18.30 น. เจ๊งชัยคาบ้านทั้งคู่

นั่นหมายถึงโอกาสที่ “หงส์แดง” จะทะยานขึ้นจ่าฝูงด้วยการฉีกหนี 2 ทีมที่ว่านั่นไป 3 แต้ม หากบุกชนะทีมน้องใหม่อย่าง เบรนท์ฟอร์ด ได้ในเกมคู่สุดท้ายในช่วง 23.30 น.

ซึ่งดูแล้วไม่ใช่เรื่องเหนือบ่ากว่าแรง ถึงแม้ “เดอะ บีส์” จะเป็นน้องใหม่ที่ฟอร์มดีที่สุดในบรรดา 3 ทีมที่เลื่อนชั้นขึ้นมาพร้อมกันก็ตาม

11 ตัวจริงของ เจอร์เกน คลอปป์ ในเกมนี้ ถือว่า “จัดเต็ม” นี่คือทีมชุดที่ดีที่สุดที่ “หงส์แดง” มี ยกเว้นมิดฟิลด์ที่การบาดเจ็บของ ติอาโก อัลคันทารา และ นาบี เกอิตา ทำให้ เคอร์ติส โจนส์ ได้ออกสตาร์ตเป็นตัวจริงร่วมกับ จอร์แดน เฮนเดอร์สัน และ ฟาบินโญ

เกมรับเป็น เฟอร์จิล ฟาน ไดค์ กับ โฌแอล มาทิป โดยมี เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ กับ แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน เป็นฟูลแบ๊ก ส่วนเกมรุกยังเป็น โมฮาเหม็ด ซาลาห์, ซาดิโอ มาเน และ ดีโอโก โชตา

ส่วนเจ้าถิ่นนั้น จุดที่น่าสนใจ คือการประสานงานของคู่กองหน้าอย่าง อิวาน โทนีย์ กับ ไบรอัน เอ็มเบอูโม แต่อีกอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้พวกเขาออกสตาร์ตดีในซีซั่นนี้ คือเรื่องของเกมรับ ก่อนหน้าเกมนี้ มีแค่ เชลซี, ลิเวอร์พูล และ แมนเชสเตอร์ ซิตี เท่านั้น ที่เสียประตูน้อยกว่า และเก็บคลีนชีตได้มากกว่าพวกเขา ซึ่งผิดวิสัยทีมน้องใหม่อยู่พอสมควร

ขณะที่ “หงส์แดง” เอง 7 เกมลีกก่อนหน้าเกมนี้ พวกเขาโดนเจาะตาข่ายไปแค่ดอกเดียวเท่านั้น นั่นหมายความว่านี่เป็นการเจอกันของ 2 ทีมที่มีเกมรับเหนียวแน่น….

แต่รูปเกมที่ออกมากลับออกแนวบู๊ล้างผลาญตั้งแต่ต้นเกม เอาว่าเริ่มไปไม่ทันไรก็ต้องมีการเคลียร์บอลจากเส้นประตูกันไปฝ่ายละครั้งแล้ว

ถ้าเป็นมวย “หงส์แดง” ก็เป็นประเภท “คุณทีผมที” ผลัดกันเมาปลัดกันเป๋ ด้วยศักยภาพเกมรุกของทีมเยือนนั้นไม่ใช่เรื่องผิดปกติในการทำอันตรายคู่แข่ง แต่ละประตูของพวกเขามาจากการเข้าทำที่เฉียบขาด ไม่ว่าจะเป็นลูกโหม่งของ โชตา ลูกยิงของ ซาลาห์ ที่ทำให้เจ้าตัวกลายเป็นเจ้าของสถิติยิงครบ 100 ประตูในลีกเร็วที่สุดของสโมสรโดยใช้เวลาแค่ 151 เกม หรือประตูที่ 3 ที่ โจนส์ สับเปรี้ยงจากนอกกรอบให้ทีมขึ้นนำ 3-2 ก่อนโดนเปลี่ยนตัวออก

แต่อย่างที่บอกว่าคู่หน้าของเจ้าถิ่นก็ไม่ใช่ย่อย ถึงชื่อชั้นจะไม่ใช่ยอดดาวยิง แต่จุดแข็งคือความมุ่งมั่น พุ่งเข้าหาบอลไม่ต่างจากกระทิงเปลี่ยน และที่สำคัญ เล่นเข้าขากันจนกองหลังลิเวอร์พูลเหงื่อตกหลายจังหวะ

นอกจากนี้ ลูกกลางอากาศยังเป็นอาวุธที่ทำให้พวกเขาเล่นงานผู้มาเยือนอย่างได้ผล เห็นได้จาก ประตูที่ 2 และ 3 เกิดจากการบอมโด่งไปเสาไกล ซึ่งที่ตรงนั้นจะมีนักเตะ เบรนท์ฟอร์ด 2-3 คนเข้าไปรุมกินโต๊ะ เทรนต์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ และนำมาสู่การได้ประตู ซึ่งในทางกลับกันก็ต้องตำหนิการเล่นเกมรับของ “หงส์แดง” ที่ป้องกันลูกกลางอากาศในลักษณะนี้ได้อย่างปวกเปียกสิ้นดี

อย่างไรก็ตาม แม้ผลสุดท้ายจะได้แค่เสมอ 3-3 แต่ภาพรวมถือว่า ลิเวอร์พูล ไม่ได้เล่นแย่อะไรนัก ที่ถูกคือต้องชม เบรนท์ฟอร์ด มากกว่าที่ทำได้ดีและสมควรจะมีแต้มจากเกมนี้ด้วยประการทั้งปวง ขณะที่ 1 แต้มจากเกมนี้เพียงพอที่จะทำให้ “หงส์แดง” ขึ้นไปรั้งจ่าฝูง เพียงแต่กลายเป็นว่านำแต้มเดียว แทนที่ช่องว่างจะเป็น 3 คะแนน

แม้ผลการแข่งขันจะไม่เป็นดั่งใจ แต่หลังจบเกม เจอร์เกน คลอปป์ เดินเข้าไปจับมือกับ ดาเนียล แฟรงค์ กุนซือ “เดอะ บีส์” ด้วยรอยยิ้มอย่างกว้างขวางที่สุด เพราะสำหรับคนเป็นกุนซือ รวมถึงคนที่รักฟุตบอลทั้งปวงแล้ว

เกมที่สนุกเร้าใจแบบนี้แหละ ที่พวกเขาอยากเห็น…
.
.
ผยองเดช