กลายเป็นความเสี่ยง!! ที่ต้องจับตามองแบบไม่กระพริบกันทีเดียว… กับสถานการณ์ “หุ้นกู้” ที่บรรดาภาคเอกชนทั้งรายใหญ่รายน้อยต่างเฮโล ออกขายกันจำนวนมาก หวังระดมทุนไปใช้สารพัด ทั้งหนี้เก่า หนี้ใหม่ หรือลงทุนเพิ่ม

หลังจากในปีที่ผ่านมาเกิดเหตุการณ์เบี้ยวจ่ายหนี้หุ้นกู้ กับหลายบริษัทใหญ่ จนกลายเป็นข่าวครึกโครมและนำไปสู่การดำเนินคดีตามกฎหมาย แม้ว่าบรรดาเจ้าหนี้ของหุ้นกู้ นั้น ๆ ยังไม่ได้การจ่ายหนี้ทั้งเงินต้นและดอกเบี้ย

ว่ากันว่า…ในปี 2566  หุ้นกู้ที่มีการผิดนัดชำระหนี้ มีอยู่กว่า 1.6 หมื่นล้านบาท จากยอดการออกหุ้นกู้ระยะยาวรวมกันแล้วกว่า 1 ล้านล้านบาท 

จำนวนหุ้นกู้ของบริษัท ที่ออกจำหน่ายในปีก่อน ถือว่าสูงกว่ายอดการออกเฉลี่ยในช่วง 7 ปี (ปี 2559-2565) ที่ 9.5 แสนล้านบาท แต่ต่ำกว่า ปี 65 ที่มียอดการออกหุ้นกู้ที่ 1,271,641 ล้านบาท

มาปีนี้…ปีมังกร ที่ยังไม่ผ่านพ้นเดือนแรกของปี ก็มีข่าวคราวของบริษัทขนาดใหญ่ที่ประกอบธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง ต้องขอเลื่อนจ่ายหนี้หุ้นกู้ออกไปก่อน

แถมยังตามมาด้วย…บริษัทใหญ่ด้านอาหารสำเร็จรูปแช่แข็งและบรรจุกระป๋อง ที่เตรียมเรียกประชุมเจ้าหนี้หุ้นกู้ เพื่อขอผ่อนผันหลักเกณฑ์การคำนวณ ความสามารถการชำระดอกเบี้ย รวมไปถึงการคำนวณเงินปันผลที่สามารถจ่ายได้ 

สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย เปิดเผยตัวเลขหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดในปี 2567  มีมูลค่ารวมทั้งสิ้นประมาณ 890,908 ล้านบาท 

ในจำนวนนี้มีมากถึง 90% ที่เป็นหุ้นกู้ในกลุ่มอินเวสต์เมนต์เกรด  ซึ่งเป็นหุ้นกู้ที่มีเรทติ้ง BBB-ขึ้นไป ซึ่งเป็นหุ้นกู้ที่ออกโดยบริษัทที่มั่นคง ผลประกอบการดี อยู่ในกลุ่มที่น่าลงทุน ผลตอบแทนไม่สูงมาก มีอยู่ 791,322 ล้านบาท

นอกจากนี้ยัง เป็นหุ้นกู้ที่มีเรทติ้งค่อนข้างสูง หรือตั้งแต่ A-ขึ้นไป ประมาณ  86 บริษัท มูลค่ารวมประมาณ 688,000 ล้านบาท ถือว่า มีความเสี่ยงจากการผิดนัดชำระหนี้ค่อนข้างต่ำ

ส่วนอีก 10% เป็นหุ้นกู้ในกลุ่มไฮยีลด์  มีเรทติ้งต่ำกว่า BBB- ลงมา แต่ให้ผลตอบแทนสูง และหุ้นกู้ของบริษัทที่ไม่ได้จัดอันดับความน่าเชื่อถือ รวมกว่า  99,586 ล้านบาท 

โดยหุ้นกู้ไฮยีลด์ ที่ครบกำหนดในปีนี้ มีความเสี่ยงอยู่ประมาณ 50,000 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 50% ของจำนวนหุ้นกู้ไฮยีลด์ ที่ครบกำหนด

บรรดากูรู นักวิชาการ หรือแม้แต่ผู้ประกอบการ เอง ต่างมองว่า สถานการณ์เช่นนี้ เป็น “ความเสี่ยง” ทางด้านเศรษฐกิจไม่น้อย และมีน้ำหนักของความเสี่ยงที่ “น่าเป็นห่วง”

จึงไม่ใช่เรื่องแปลก!!ที่บรรดานักลงทุนทั้งในทั้งต่างชาติ จะเกิดอาการ “เอ๊ะ” เกิดความกังวล ที่สำคัญการ “เทคแอคชั่น” ของภาครัฐ ยังไม่มีอะไรที่จะดึงความเชื่อมั่นให้ฟื้นกลับคืนมาได้ จึงส่งผลกระทบต่อตลาดทุนแบบยักแย่ยักยัน อย่างที่เห็น

สถานการณ์การเลื่อนจ่ายหนี้หุ้นกู้ ที่เกิดขึ้น และกำลังเกิดขึ้นตามมาเป็นแถวนี้ สะท้อนให้เห็นว่า จากภาวะเศรษฐกิจที่กำลังดิ่งเหวลงทุกวัน…ทุกวัน… กำลังส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจไทย ที่เป็นเส้นเลือดสำคัญของเศรษฐกิจ

แม้ว่า…ปัจจัยใหญ่ที่ทำให้เศรษฐกิจเตี้ยลงทุกวัน จะมาจากต่างประเทศ ที่ไม่สามารถควบคุมได้ ผสมปนเปกับเศรษฐกิจในประเทศ ที่ยังไม่สามารถฝ่าฟันไปได้

เท่ากับว่าทุกวันนี้ ต้อง “กินบุญเก่า” เพื่อประคับประคอง ให้ประเทศเดินหน้าต่อไปให้ได้ ขณะที่ศึกของคำว่า “วิกฤติหรือไม่วิกฤติ” ยังคงเป็นเรื่องที่ “ติดใจ” ของหลาย ๆ คน

เรื่องราวการผิดนัดจ่ายหนี้ของหุ้นกู้ กำลังกลายเป็นอีกหนึ่งระเบิดเวลาทางเศรษฐกิจ ที่รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ต้องเร่ง “ล้อมคอก” เพราะหากปล่อยตามมีตามเกิด เชื่อเถอะว่า “แรงระเบิด” น่ะ ไม่น้อยทีเดียว!!

———————
ช่อชมพู