ชาวบ้านชาวช่อง!!! ได้เฮ…กันแล้วค่ะ หลังกระทรวงสาธารณสุข ได้ออกมาไฟเขียวให้มีการขายชุดตรวจแอนติเจน เทสต์ คิต หรือ “เอทีเค” ได้เป็นการทั่วไป ไม่จำเป็นต้องไปหาซื้อที่ร้านขายยาที่มีเภสัชกรประจำร้าน เท่านั้น

นั่นหมายความว่า… คุณๆ ท่านๆ จะสามารถเลือกซื้อเลือกหา ได้ทั้งในช่องทางของร้านค้าปกติ หรือร้านค้าออนไลน์ ได้เป็นการทั่วไป เพียงแต่ต้องสังเกตให้ดีว่า… ต้องเป็นชนิดโฮมยูส ที่ใช้สำหรับประชาชนทั่วไป และต้องมีภาษาไทยกำกับให้ชัดเจน

นอกจากทำให้ประชาชนคนไทยหาซื้อชุดตรวจเอทีเค ได้ง่ายได้สะดวกมากขึ้นแล้ว ที่สำคัญที่สุด!! คงหนีไม่พ้น การมีค่าใช้จ่ายลดลงตามไปด้วย เพราะเชื่อได้ว่ากลไกตลาดจะทำให้ราคาของเอทีเคถูกลง

แม้เวลานี้แนวโน้มราคาเอทีเค ได้ลดลงไปบ้าง โดยเฉพาะยี่ห้อยอดนิยมจากเกาหลี จากเฉลี่ยชุดละ 280-320 บาท หรือกล่องละ (25 ชิ้น) 6,500-6,700 บาท เหลือเพียงชุด 168-176 บาท หรือกล่องละ 4,200-4,400 บาท แต่บางร้านอาจยังขายราคาสูงบ้างเนื่องจากเป็นสินค้าสต๊อกเก่า

ส่วนชุดตรวจนำเข้าจากจีนขายเหลือเพียงชุดละ 70-80 บาท ขณะที่ “หมอหนู-อนุทิน ชาญวีรกูล” ได้ออกมากำชับให้องค์การเภสัชกรรม เร่งจัดหาเอทีเค เพื่อนำเข้ามาขายให้กับคนไทยในราคาที่ถูกลงอีก หรือใน ราคาชุดละ 30-40 บาท

แต่ปัญหาที่น่ากลัวและเชื่อได้ว่า…ต้องเกิดขึ้นตามมาแน่นอน คงหนีไม่พ้น ของเถื่อน ของปลอม ของไม่มีคุณภาพ เผลอ ๆ อาจเป็นอีกหนึ่ง “สินค้าไม่ตรงปก” ที่กำลังเป็นกระแสข่าวดังอยู่ในเวลานี้อีกก็เป็นไปได้

อย่าลืมว่า…เวลานี้โลกออนไลน์ ได้ทำให้ “เยาวชนไทย” หลายราย เลือกเดินทางผิดใช้เส้นทางของ “อาชญากร” หลอกลวงชาวบ้าน มาทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของตัวเอง “ร่ำรวย”

ต่อให้ “ภาครัฐ” กำชับนักหนาว่า การขายเอทีเคทางออนไลน์ ที่เชื่อได้ว่าต้องมีการโฆษณาการขาย ต้องขออนุญาตการโฆษณาจากสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา หรือ อย. ให้ถูกต้องตามกฎหมายก่อน เพราะถือว่า เอทีเค เป็นเครื่องมือแพทย์ รวมถึงการออกสุ่มตรวจอย่างต่อเนื่องก็ตาม

แต่ในข้อเท็จจริงแล้ว คนที่อยากรวยทางลัด คนที่ทำผิดกฎหมาย คนที่แหกคอก คนที่เห็นแก่ตัว ไม่คำนึงถึงความเดือดร้อนของคนที่ตกเป็น “เหยื่อ” ยังมีอยู่เกลื่อนเมือง

แม้เจ้าหน้าที่จะปูพรมตรวจเข้ม ป้องกันในทุกทางอย่างเข้มงวดแค่ไหน? ก็ยังกวาดจับได้ไม่หมด!! ยิ่งในช่วงนี้ข้าวยากหมากแพง จึงกลายเป็นอีกหนึ่งแรงจูงใจให้ทำผิดกฎหมาย

สุดท้าย!!! ผู้บริโภคอย่างเรา ต้องหันมา “พึ่งตัวเอง” ให้หนัก เพื่อไม่ให้ตกเป็นเหยื่อ อย่าหลงแต่เรื่องของถูก โดยไม่ตรวจสอบคุณภาพ ไม่ตรวจสอบภูมิหลังของผู้ขาย เพราะสุดท้ายแล้วก็อาจสูญเงินสูญทองจากการ “เสียรู้” ก็เป็นไปได้

ขนาด…ยังไม่ได้อนุญาตอย่างเป็นทางการ ก็ปรากฏว่ามีเสียงเรียกร้อง เสียงร้องเรียน เข้ามามากมาย ว่า ชุดตรวจเอทีเค มีขายกันเกลื่อนตามตลาดนัด และช่องทางออนไลน์ ซึ่งก็ไม่รู้ว่าเป็นของดี เป็นของถูกกฎหมาย ที่ได้รับอนุญาจาก อย.แล้วหรือยัง

ข้อมูลจากเว็บไซต์ของ อย. เมื่อวันที่ 26 ส.ค.ที่ผ่านมา พบว่า มีเอกชนที่ได้รับอนุญาตให้ผลิตและนำเข้า เอทีเค สำหรับการใช้งานของประชาชนทั่วไป (โฮมยูส) แล้ว 45 ราย

ในจำนวนนี้!! ส่วนใหญ่เป็นยี่ห้อที่ผลิตในจีน ซึ่งมีผู้เข้านำเข้าสูงถึง 26 ราย จากบริษัทผลิต 20 บริษัท ส่วนยี่ห้อของเกาหลี มี 10 ราย จาก 7 ผู้ผลิต จากสหรัฐ 3 ราย จากไต้หวัน 3 ราย 2 ผู้ผลิต จากสวิตเซอร์แลนด์ 1 ราย สเปน 1 ราย และไทย 1 ราย

แม้ว่ารัฐบาลจะจำหน่ายจ่ายแจกชุดตรวจเอทีเค ให้กับ “กลุ่มเสี่ยง” คนละ 2 ชุด แต่ในความเป็นจริงแล้ว ทั้งชุดตรวจเอทีเค ทั้งหน้ากากอนามัย รวมทั้งเจลแอลกอฮอล์ หรือสเปรย์แอลกอฮอล์ ได้กลายเป็นต้นทุนค่าใช้จ่ายของประชาชนคนไทยทั้งประเทศไปแล้ว

เพราะถือว่าเป็นสินค้าจำเป็นขั้นพื้นฐาน ที่ทุกชีวิตต้องใช้ ต้องให้ความสำคัญอย่างหนัก เพื่อป้องกันตัวเองจากพิษไวรัสร้ายโควิด-19 ที่ยังคงอยู่กับคนไทยต่อไป

ด้วยเหตุนี้ ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้อง “เทคแอ๊คชั่น” ให้จริงจังและชัดเจน เพื่อไม่ให้ประชาชนคนไทย ต้องกลายเป็น “เหยื่อ” เพราะ “เอทีเค” ถือเป็นเครื่องมือการแพทย์ ที่ต้องมีมาตรฐาน มีคุณภาพ

ไม่เพียงเท่านี้!! ต่อให้ราคาของชุดตรวจเอทีเค เริ่มลดลงมาบ้างแล้วตามกลไกของตลาด หากมีของมาก ราคาก็ย่อมต้องถูกลง แต่ค่าใช้จ่ายนี้ก็ถือว่าเป็นภาระของประชาชนเช่นกัน

คนที่มีกำลังพอที่จะหาซื้อเองได้ ก็ไม่เท่าไหร่ แต่คนที่ต้องหาเช้ากินค่ำ รายได้น้อย เผลอ ๆ บางวันแทบไม่มีเงินกินข้าวด้วยซ้ำไป นี่สิ เป็นเรื่องที่น่าคิด!! ว่าคนเหล่านี้จะได้มาซึ่งเอทีเค ได้อย่างไร?

……………………………………….
คอลัมน์ : เศรษฐกิจจานร้อน
โดย “ช่อชมพู”