สหรัฐประกาศเมื่อเดือนม.ค.ที่ผ่านมา กลับมาขึ้นบัญชีดำกลุ่มฮูตีเป็นหนึ่งในกลุ่มก่อการร้ายข้ามชาติ ตามกฎหมายของตัวเองอีกครั้ง เพื่อเตรียมการคว่ำบาตร และการตัดท่อน้ำเลี้ยงที่คอยมอบความสนับสนุนทางการเงินให้แก่กองกำลังกลุ่มนี้ ซึ่งยังคงยึดครองกรุงซานา เมืองหลวงของเยเมน และเมืองใหญ่อีกหลายแห่งในประเทศไว้ได้อย่างเหนียวแน่น นับตั้งแต่สงครามกลางเมืองปะทุ เมื่อปี 2558

อนึ่ง กลุ่มฮูตีอยู่ในบัญชีดำการเป็นองค์กรก่อการร้าย ในสมัยรัฐบาลวอชิงตันของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แต่รัฐบาลสหรัฐชุดต่อมาซึ่งเป็นชุดปัจจุบันของประธานาธิบดีโจ ไบเดน ถอนชื่อกลุ่มฮูตีออก เมื่อปี 2564 หลังสหประชาชาติ ( ยูเอ็น ) และอีกหลายประเทศ แสดงความวิตกกังวลว่า จะส่งผลกระทบต่อการส่งมอบความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม ให้แก่ประชาชนในเยเมน

ชาวเยเมนประท้วงต่อต้านสหรัฐและอิสราเอล โดยแสดงจุดยืนสนับสนุนปาเลสไตน์ ที่กรุงซานา เมืองหลวงของเยเมน

ทั้งนี้ สหรัฐ “ขีดเส้นตาย” ให้กลุ่มฮูตียุติการเคลื่อนไหวในทะเลแดงและอ่าวเอเดน ที่เป็นการโจมตีเรือบรรทุกสินค้าซึ่งแล่นผ่าน ภายในระยะเวลา 30 วัน นับตั้งแต่มีการนำกลุ่มฮูตีกลับเข้าสู่บัญชีดำ หากความถี่ของการโจมตีลดลง หรือมีการยุติการเคลื่อนไหว รัฐบาลวอชิงตันจะถอนชื่อกลุ่มฮูตีออกจากบัญชีดังกล่าว

อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ยังคงตึงเครียด โดยกลุ่มฮูตี “ยื่นคำขาด” จะยังคงปฏิบัติการในทะเลแดงและอ่าวเอเดนต่อไป “เพื่อแสดงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียว” กับชาวปาเลสไตน์ ซึ่งยังคงประสบกับ “การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์” ของอิสราเอล ที่ปฏิบัติการทางทหารในฉนวนกาซา ตั้งแต่วันที่ 7 ต.ค. 2566 และเพื่อตอบโต้ “ความก้าวร้าว” ของสหรัฐและพันธมิตร ซึ่งปฏิบัติการทางทหารหลายระลอก โจมตีกรุงซานา และเมืองใหญ่อีกหลายแห่งในเยเมน ตั้งแต่ช่วงต้นเดือนม.ค. ที่ผ่านมา

ขณะที่รัฐบาลเยเมนซึ่งมีฐานอยู่ที่เมืองเอเดน และได้รับการรับรองจากสหประชาชาติ ( ยูเอ็น ) ให้ความเห็นว่า ปฏิบัติการทางทหารของสหรัฐและพันธมิตร “เพื่อป้องกันตนเอง” จากการโจมตีของกองกำลังฮูตี “ไม่เพียงพอและไม่ใช่ทางออก”

เครื่องบินขับไล่ของสหรัฐเตรียมปฏิบัติการ จากเรือบรรทุกเครื่องบิน “ดไวต์ ดี. ไอเซนฮาวร์” ในเขตน่านน้ำสากลของทะเลแดง

รัฐบาลเยเมนมองว่า “หนทางแก้ไข” ของเรื่องนี้ คือการที่ทุกภาคส่วนต้องร่วมกัน “ทำลาย” ศักยภาพทางทหารของกองกำลังฮูตี และยืนยัน ความต้องการเจรจาสร้างสันติภาพอย่างถาวร เพื่อยุติสงครามกลางเมืองที่ยืดเยื้อมานานเกือบ 10 ปี อย่างไรก็ตาม กลุ่มฮูตี “ไม่ต้องการสันติภาพ” ซึ่งกลุ่มฮูตีโต้กลับ ว่าการที่รัฐบาลในเมืองเอเดนเรียกร้องขอความสนับสนุนด้านอาวุธและทางทหาร จากสหรัฐและซาอุดีอาระเบีย ตลอดจนประเทศตะวันตกอีกหลายแห่ง บ่งชี้ชัดเจน ว่าอีกฝ่ายไม่ประสงค์ให้สันติภาพกลับคืนสู่เยเมน

เรือพิฆาตติดตั้งระบบขีปนาวุธชั้นอาร์ลีห์เบิร์ก “ยูเอสเอส คาร์นีย์” ของสหรัฐ ลาดตระเวนในอ่าวเอเดน

ด้านการประชุมสหประชาชาติว่าด้วยการค้าและการพัฒนา หรือ อังค์ถัด เผยแพร่รายงาน ว่าภายในระยะเวลา 2 เดือนล่าสุด หรือนับตั้งแต่กลางเดือน พ.ย. ที่ผ่านมา ความหนาแน่นของเรือบรรทุกสินค้าที่ผ่านคลองสุเอซ ซึ่งเชื่อมระหว่างทะเลเมดิเตอร์เรเนียนกับทะเลแดง ลดลง 42% โดยเรือบรรทุกสินค้าเหล่านี้ เดินทางอ้อมไปผ่านแหลมกู๊ดโฮป ที่แอฟริกาใต้แทน ซึ่งแน่นอนว่า จะทำให้ต้นทุนที่เกี่ยวข้องทั้งหมดเพิ่มสูงขึ้นโดยปริยาย ส่งผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานโลกซึ่งยังคงชะลอตัว

อนึ่ง กลุ่มฮูตีถือว่า ปฏิบัติการในทะเลแดงและอ่าวเอเดน “คือความรับผิดชอบทางศีลธรรมและความเชื่อ” จึงยืนกรานปฏิเสธว่าเป็น “กิจกรรมก่อการร้าย” และประณามสหรัฐว่า การขึ้นบัญชีดำฮูตีเป็นกลุ่มก่อการร้าย “คือการกดขี่ข่มเหง” กับฝ่ายตรงข้ามที่ไม่เห็นด้วยกับนโยบายของรัฐบาลวอชิงตันและอิสราเอลเท่านั้น อีกทั้งกลุ่มฮูตีวิจารณ์ด้วยว่า สหรัฐทำเช่นนี้เพียงเพื่อต้องการรักษาผลประโยชน์ ให้กับตัวเองและอิสราเอล

หน่วยยามฝั่งของเยเมน ที่สนับสนุนโดยกลุ่มฮูตี ลาดตระเวนนอกชายฝั่งเมืองโฮไดดา ทางตอนใต้ของเยเมน

จนถึงตอนนี้ กองกำลังฮูตียังคงยืนยัน ว่าปฏิบัติการทางทหารของสหรัฐและพันธมิตร ไม่ได้สั่นคลอนศักยภาพทางทหารของฮูตีแม้แต่น้อย ในทางกลับกันมีแต่จะยิ่งเพิ่มความแข็งแกร่ง และกระตุ้นแรงจูงใจให้กับสมาชิกของฮูตี ในการเคลื่อนไหวภายในอุดมการณ์ “ต่อต้านจักรวรรดินิยม” ซึ่งทำให้ได้รับความสนับสนุนอย่างมากในโลกมุสลิม และบรรดผู้นิยมแนวคิดการเมืองฝ่ายซ้ายในหลายประเทศ และการต่อสู้ในลักษณะนักรบกองโจรของกลุ่มฮูตี สะท้อนความพร้อมของการอยู่ใน “สมรภูมิที่ยืดเยื้อ”

สรุปแล้ว ปฏิบัติการทางทหารของสหรัฐและพันธมิตร จึงไม่น่าสามารถทำอะไรกองกำลังฮูตีได้มากนักจริง เนื่องจากเป้าหมายในการโจมตีของฝ่ายตะวันตก ชัดเจนว่าไม่ต้องการให้สถานการณ์ยืดเยื้อ

อย่างไรก็ตาม การที่รัฐบาลวอชิงตันกลับมาขึ้นบัญชีดำกลุ่มฮูตี จะยิ่งสุมไฟความตึงเครียดและความรุนแรงในทะเลแดง ทำให้สงครามในฉนวนกาซายิ่งห่างไกลจากคำว่า “ยุติ” มากยิ่งขึ้นเท่านั้น นอกจากนี้ การสู้รบในเยเมน สงครามซึ่งหลายฝ่าย “เหมือนหลงลืมไปแล้ว” จะยิ่งทวีความรุนแรงและความแตกแยกมากขึ้นเช่นกัน ท่ามกลางผู้เล่นหลายฝ่าย ทั้งจากภายในและภายนอกภูมิภาค.

ภัทราพร ไพบูลย์ศิลป

เครดิตภาพ : AFP