วันนี้ “คอลัมน์ตรวจการบ้าน” จึงต้องมาสนทนากับ“วิโรจน์ ลักขณาอดิศร” สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ในฐานะประธาน กมธ. การทหาร ว่า พรรคก้าวไกลจะมีแนวทางตั้งรับและฟันฝ่าวิกฤตรอบนี้อย่างไร โดยเฉพาะกรณีใบ สด. 43 ในส่วนของ สส. พรรคก้าวไกล ทำไมจึงตกเป็นเป้าในช่วงเวลานี้

โดย“วิโรจน์”เปิดประเด็นว่า ต้องยอมรับตรงๆ เรื่องใบ สด.43 ถูกใช้เป็นประเด็นการเมือง เพราะพอพรรคก้าวไกลพูดถึงการตรวจสอบ ที่ต้องตรวจสอบครบทุกพรรคทุกคน ซึ่งถูกหรือไม่ แต่ว่าการที่มาเพ่งเล็งที่พรรคก้าวไกลพรรคเดียวสะท้อนอยู่แล้วว่า ถูกใช้เป็นประเด็นการเมือง แต่เอาเถอะ การตรวจสอบจะตรวจสอบพรรคเดียวหรือจะตรวจสอบทุกพรรค อันนี้ก็แล้วแต่วิจารณญาณและมาตรฐานการตรวจสอบของแต่ละกลุ่มแต่ละคน แต่การทำอย่างนี้ประชาชนก็จะตั้งข้อสังเกตเอง อย่างไรก็ตามผมยืนยันว่าสิทธิในการตรวจสอบ ก็ตรวจสอบไป ส่วนผู้ที่ถูกตรวจสอบถ้าเป็นบุคคลสาธารณะก็ต้องมีหน้าที่พิสูจน์ตัวเอง  สุดท้ายแล้วการตรวจสอบต้องตรวจสอบอย่างเสมอภาค

กมธ.ทหารได้ตรวจสอบเรื่องนี้อย่างไร

ในเรื่องของกรรมาธิการฯ เรามีมติส่งสำเนา สด. 43 ของคุณจิรัฏฐ์  ทองสุวรรณ์ สส.ฉะเชิงเทรา พรรคก้าวไกล ให้ผบ.นรด. ในขณะเดียวกันก็ขอต้นขั้วและเอกสารในเล่มเดียวกันฉบับเดียวกันกับของคุณจิรัฏฐ์  ในห้วงเวลาที่มีการตรวจคัดเลือกทหาร แล้วเราจะเอากระดาษมาเปรียบเทียบกันว่าเป็นกระดาษเนื้อเดียวกันหรือไม่ พิมพ์จากโรงพิมพ์ของกองทัพหรือไม่ ซึ่งจะได้ส่งไปตรวจที่กองพิสูจน์หลักฐานของสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้  ก็จะพิสูจน์ได้ว่าคนที่ปลอมคือใคร

“ต้องสมมติว่า คือ เอกสารปลอมก่อนนะ เพราะผบ.นรด.ก็ยืนยันว่าปลอม แต่ความสำคัญ คือ ไม่ใช่ว่าจบเลย ต้องถามว่าใครปลอม อย่างน้อยๆ 5 ลายเซ็นที่ปรากฏในใบสด.43 ของคุณจิรัฎฐ์เป็นลายเซ็นจริง ทหารมีตัวตนจริง คนปลอมก็น่าจะเป็นทหาร 5 รายนั้น สมมติว่าถ้าปลอม การปลอมทุกครั้งต้องมีขบวนการถูกหรือไม่ สัสดีหรือว่านายทหารทั้ง 5 คนนี้ ผมคิดว่าคงเป็นแค่ปลายน้ำ ต้องสาวต่อถึงหัวหน้าขบวนการถูกหรือไม่ ผมจึงขอรายชื่อผู้บังคับบัญชา 3 ลำดับชั้นของสัสดี หรือนายทหารที่ปรากฏลายเซ็นบน สด.43 ของคุณจิรัฏฐ์ด้วย เพราะว่ามีความจำเป็นที่จะต้องสาวต่อ”

ยิ่งมีคำครหาว่ามีเรื่องผลประโยชน์เข้ามาเกี่ยวข้อง อันนี้ยิ่งแล้วใหญ่เลย เพราะว่าเรื่องการขายใบ สด.43 เราพูดกันตรงๆ เคยได้ยินมาตั้งแต่สมัยผมเรียนมัธยม หรือก่อนหน้านั้นแล้วด้วยซ้ำไป ผมก็ประเมินว่าคร่าวๆ จากประชากรที่ต้องเข้าตรวจคัดเลือกเพื่อเกณฑ์ทหารในแต่ละปีหลักหลายแสนคน สมมติว่าถ้าประชากรทั้งหมด เป็นชายที่ต้องเข้าตรวจคัดเลือกทหาร 3 แสนคน ก็มีคนประเมินคร่าวๆ ว่ามี 6 หมื่นคนที่ตกเป็นเหยื่อใบ สด. 43 ไม่ใช่ปลอมด้วยนะ จริงๆ ท่าน ผบ.นรด.พูดผิด ผมเรียกว่าใบ สด.43 ก็อปเกรดเอ เพราะว่ากระดาษก็เป็นกระดาษจากกองทัพ ลายเซ็นก็เป็นลายเซ็นทหารจริง ใครจะไปรู้ว่าเป็นของปลอม

 “ผมย้ำว่ามันคือของก็อปเกรดเอ สุดท้ายก็คือมันเป็นขบวนการในการสร้างสด.43 ก็อปเกรดเอหรือไม่ สิ่งที่ผมเคยได้ยินและต้องตรวจสอบต่อไปคือ มีการพูดกันว่ามีการให้โควตาด้วยว่ากี่เล่มๆ แล้วไปหาผลประโยชน์กันจริงหรือไม่และหากประเมินมูลค่าประมาณ 6 หมื่นคน ที่ต้องตกเป็นเหยื่อ สมมติว่าตอนนี้สนนราคาที่เขาลือๆ กัน ที่เขาพูดถึงกันประมาณ 5 หมื่นบาท ก็กลายเป็น 3,000 ล้านบาทต่อปี สำหรับ สด. 43 ก็อปเกรดเอ แล้วมันต้องมีการส่งต่อผลประโยชน์ แต่ผลประโยชน์มันไม่ได้อยู่แค่ตรงนี้หรือไม่”

นอกจากนี้ยังมีประเด็นที่ต้องตรวจสอบ คือเรื่องที่ลือกันว่า คนที่เกณฑ์แล้วเข้าไปอยู่ในค่ายทหารประมาณ 1 แสนคน หรือประมาณร้อยละ 20 ที่ ยอมยกเงินเดือนและเบี้ยเลี้ยงให้นาย เฉลี่ยแล้วประมาณ 1 หมื่นบาทต่อเดือน แลกกับตัวเองออกมาอยู่ข้างนอก แต่ชื่อยังอยู่ข้างใน ปีหนึ่งก็ประมาณสัก 2 หมื่นคน เงินเดือน 1 หมื่นบาท ก็ตกเดือนละประมาณ 200 ล้านบาท  และคิดเป็นปีละ 2,400 ล้านบาท แสดงว่าพอเรามารวมผลประโยชน์ ผมเรียกว่าชามข้าวหมา ๆ ชามนี้ผลประโยชน์รวมกันเท่าไร  3,000 ล้านบาทจากสด.43 ก็อปเกรดเอ 2,400 ล้านบาท จากการที่ชื่ออยู่ตัวไป ยกเงินเดือนให้นาย รวมกัน 5,400 ล้านบาท หรืออาจจะสูงกว่านั้น

@พรรคก้าวไกลจะมีการจัดทัพจัดกระบวนเพื่อสู้กับนิติสงครามที่กำลังเกิดขึ้นในเวลานี้อย่างไรบ้างโดยเฉพาะกรณีที่เพิ่งโดนศาลรัฐธรรมนูญมีมติให้หยุดการกระทำรณรงค์ยกเลิกมาตรา 112

ผมคิดว่าเราก็คงต้องอ่านคำวินิจฉัยศาลฯ อย่างรอบคอบก่อน การดำเนินการ นับจากนี้ผมคิดว่าจุดยืนของพรรคก้าวไกลก็คงเหมือนเดิม คืออุดมการณ์มันเปลี่ยนไม่ได้ แต่ว่าคงต้องรอบคอบมากขึ้น อย่างไรก็ตามแต่เดิมในการที่เราจะเดินไปถึงจุดหมาย เป็นธรรมดาของประเทศที่บ้านเมืองหยุดนิ่งมานาน ดังนั้นการจะขับเคลื่อนประเทศไปสู่จุดหมาย ก้าวไกลก็มักจะเลือกเดินทางตรง แต่ต้องยอมรับว่าถนนมีทางโค้งถูกหรือไม่ คราวนี้พอเราตัดทางตรง บางครั้งมันเจอทางชันเกินไป ดังนั้นบางครั้งก็ต้องวางโรดแม็พให้ดี เช่น กฎหมายลูกมีปัญหาหรือไม่  พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญในส่วนของพรรคการเมืองมีปัญหาหรือไม่ หรืออยู่ดีๆ ทำไมกฎหมายจึงไปให้อำนาจศาลรัฐธรรมนูญอย่างเกินพอดีจนขาดการตรวจสอบถ่วงดุล เราควรจะแก้ พ.ร.ป.พรรคการเมือง หรือ พ.ร.ป. กกต. ก่อนหรือไม่ เพื่อให้การใช้อำนาจต่างๆ ของศาลรัฐธรรมนูญไม่ล้นเกิน ไม่เกินกว่า 3  อำนาจสำคัญในระบอบประชาธิปไตย คืออำนาจตุลาการ   นิติบัญญัติ และบริหาร ต้องยอมรับว่านี่คือ 3 เสาหลัก ศาลรัฐธรรมนูญเป็นองค์กรอิสระ แต่กลายเป็นองค์กรอิสระที่เป็นเหมือนร่มมาครอบ 3 อำนาจหลักในระบอบประชาธิปไตย ซึ่งผมคิดว่ามันขัดกับหลักประชาธิปไตยสากล  

ดังนั้นเราแก้ พ.ร.ป.ตรงนั้นตรงนี้ ถ้าเราแก้กฎหมายที่มันเกี่ยวข้องไปเรื่อยๆ ก่อน เพื่อให้เราขยับไปที่ปลายทางได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น คือมันมีโรดแม็พในการเคลื่อนมากขึ้นแทนที่เราจะวิ่งตรงไปที่เป้าหมายสุดท้าย

@มองว่าเขาตั้งธงยุบพรรคก้าวไกลหรือไม่

ผมไม่ได้มองว่าการยุบพรรคมันง่าย และผมก็ไม่ได้กังวลด้วย ผมไม่ได้คิดว่ามันง่ายเพราะว่าเขาก็เคยยุบมาแล้ว ไม่ใช่แค่อนาคตใหม่ หรือก้าวไกล แต่มันหมายถึงสมัยไทยรักไทย พลังประชาชน กลุ่มศักดินา กลุ่มทุนผูกขาด กลุ่มเครือข่ายอุปถัมภ์ที่อยู่หลังม่านการเมืองรู้ดีว่าเขาทำอย่างนี้ ประเทศมันมีแต่ความฉิบหาย วอดวาย มีแต่ความล้าหลัง ผมว่าเขารู้ ดังนั้นการยุบพรรค ยุบไป ประเทศก็ล้าหลังกว่าเดิม ยุบไปแล้วเขาทำลายความคิด ให้คนรุ่นใหม่ๆ มาเชื่อตามเขามาศิโรราบตามเขาได้ไหม เขาก็รู้ว่าไม่ได้

ดังนั้นผมจึงเชื่อว่าการยุบพรรคไม่ใช่เรื่องง่าย ต่อให้ยุบผมก็ไม่รู้หรอกว่ายุบแล้วยิ่งโตหรือเปล่า อันนี้ผมไม่ได้สนับสนุนความเห็นนี้เลย เพราะว่ามันเป็นการดูแคลนประชาชน  แต่ยุบแล้วเราไปต่อแน่ ส่วนจะยิ่งโตหรือไม่โต มันก็อยู่ที่ผลการทำงาน ในการไปต่อของเรา  การยุบไม่ได้ทำให้พรรคโต การทำงานต่างหากที่ทำให้พรรคโต มันก็ลำบากยุบพรรคแล้วตั้งพรรคใหม่ แต่ผมก็เชื่อว่ามันจะแข็งแรงขึ้น อย่างไรก็ตามสิ่งหนึ่งที่พูดได้แน่นอนคือยุบแล้วประเทศล้าหลังลง ยุบแล้วประเทศถดถอยลง ยุบแล้วลูกหลานของคนที่อยู่หลังม่าน เครือข่ายอุปถัมภ์ ประเทศที่คนเหล่านั้นก็รัก ก็มีแต่ความล้าหลัง ผมเชื่อว่าคนกลุ่มนั้นก็รักประเทศ ผมก็ไม่เชื่อว่าการยุบพรรคจะเป็นทางออกที่เขาเลือก ถ้าเขามีสติปัญญา.

คลิกอ่านบทความทั้งหมดที่นี่