Dune เคยสร้างปรากฎการณ์ความยิ่งใหญ่จากภาคแรก ที่ส่วนตัว “หมีเช” ยอมรับว่าดูรอบแรกไม่ค่อยรู้เรื่องเท่าไหร่ เพราะเข้าไปชมแบบไร้ข้อมูลใด ๆ เกี่ยวกับเนื้อเรื่อง แต่รู้แค่ว่าหนังดี และน่าตื่นเต้นมาก ๆ มีวี่แววว่าจะไปได้ไกลเหมือนกับ “สตาร์ วอร์ส” หลังเริ่มหาข้อมูล และไปชมรอบที่ 2 และ 3 ก็ทำให้เข้าใจเรื่องราวและรายละเอียดต่าง ๆ จึงเฝ้ารอคอยภาค 2 อย่างใจจดใจจ่อ

“Dune: Part Two” ผลงานภาคต่อจากนิยายเรื่องดังของ แฟรงค์ เฮอร์เบิร์ท ที่ภาพยนตร์ภาคแรก Dune (2021) ได้รับรางวัล “ออสการ์” (2022) ถึง 6 รางวัล จากการเข้าชิง 10 รางวัล ทำให้มีการคาดหวังที่สูงมากกับภาค 2 ซึ่งมาพร้อมนักแสดงชื่อดังชุดเดิม และนักแสดงหน้าใหม่ที่น่าจับตามากมาย ไม่ว่าจะเป็น ทิโมธี ชาลาเมต์, เซนดายา, รีเบ็คกา เฟอร์กูสัน, จอช โบรลิน, ออสติน บัตเลอร์, ฟลอเรนซ์ พิวจ์, เดฟ เบาทิสตา, คริสโตเฟอร์ วัลเคน, สตีเฟน แมคคินลีย์ เฮนเดอร์สัน, เลอา เซดูซ์ พร้อมด้วย สเตลแลน ซาร์สการ์ด, ชาร์ลอตต์ แรมพลิง, ฮาเวียร์ บาร์เดม และ อันย่า เทย์เลอร์-จอย

หลังจากที่ภาคแรกเล่าเรื่องราวของ พอล อะเทรดีส กับบทบาทของบุตรชาย ดยุค เลโต อะเทรดีส (Duke Leto Atreides) ผู้ปกครองดวงดาวคาลาแดน ซึ่งเขาและครอบครัวได้รับคำสั่งให้ไปดูแลดาวทะเลทรายอาร์ราคิส (Arrakis) ที่มีชนเผ่าพื้นเมืองอย่าง เฟรเมน (Fremen) เพื่อเก็บเกี่ยว สไปซ์ แต่หารู้ไม่ว่า นั่นคือ กับดัก ของจักรพรรดิที่ร่วมมือกับตระกูลฮาร์คอนเนน เพื่อหวังทำลายล้างตระกูลอะเทรดีส แต่ พอล กับแม่ของเขา เลดี้เจสสิกา เอาชีวิตรอดไปได้ ทว่า ถูกจับไปทิ้งกลางทะเลทราย จึงต้องขอความช่วยเหลือจากเหล่าเฟรเมน ที่มีบางคนเชื่อว่า เขาคือผู้ปลดปล่อย ลีซาน อัล-ไกอีบ “สุรเสียงจากโลกเบื้องนอก” ศาสดาพยากรณ์จากนอกโลกตามตำนานพระผู้ไถ่ของชาวเฟรเมน

และในภาคสอง เราจะได้ชมการเดินทางของ พอล อะเทรดีส กับการพิสูจน์ตัวเพื่อเข้าสู่วิถีการเป็นเฟรเมน และก้าวขึ้นไปเป็น ลีซาน อัล-ไกอีบ ที่ทุกคนศรัทธาและยกย่อง ก่อนเดินหน้าไปสู่จุดเริ่มต้นของ Dune Messiah ที่เราจะได้ชมในภาคสามต่อไป

จุดแข็งของ Dune: Part Two

เนียน ไร้รอยต่อ สำหรับการสร้างภาพยนตร์ไซไฟ ดูแบบจับผิดก็ยังหาที่ติไม่เจอ โปรดักชั่นสุดติ่งมาก CGI เป๊ะเวอร์ ทุกอย่างดูอลังการงานสร้าง โลกสมมติทั้งหลายดูสมจริงชนิดไม่น่าเชื่อ เสื้อผ้า อุปกรณ์ ของประกอบฉากต่าง ๆ หรือแม้แต่ไอเดียสร้างสรรค์ที่โลกไม่มี ก็ดูจริงไปซะทั้งหมด

การแสดงที่ยอดเยี่ยมของทุกตัวละคร โดยเฉพาะอย่างยิ่งตัวละครหลักทั้งหลาย เล่นดีมาก ในหนังมหากาพย์เบอร์ใหญ่ ๆ มักมีการแสดงแบบปล่อยผ่านอยู่บ้าง เพราะผู้กำกับและทีมงานมัวแต่ไปเน้นกับองค์ประกอบด้านอื่น ๆ มากกว่า โดยเฉพาะพวกตัวประกอบทั้งหลาย แต่กับ Dune: Part Two เก็บรายละเอียดตรงนี้ได้ดีมาก

เป็นหนังที่ภาพสวยเวอร์วังราวกับงานศิลป์ ดีไซน์มุมกล้องในการนำเสนอได้ดีมาก ๆ โดยเฉพาะฉากแอ็คชั่นต่าง ๆ แทบจะสมบูรณ์แบบ ระบบเสียงก็สุดไม่แพ้กัน ยิ่งถ้าดูใน IMAX นะ แม้แต่เสียงเม็ดทรายก็ได้ยินชัดแจ๋ว

จุดอ่อนของ Dune: Part Two

ด้วยเรื่องราวมหาศาลจากนิยาย Dune เล่มแรกความยาว 464 หน้า ที่แม้ผู้กำกับ เดอนี วิลเนิฟว์ จะแบ่งซอยเป็นหนัง 2 ภาค แต่มันก็มีอะไรให้ต้องเล่าเยอะมาก ๆ โดยภาคแรก เดอนี วิลเนิฟว์ ยกแทบจะทั้งภาคให้กับการปูเรื่องต่าง ๆ ของจักรวาล Dune เพื่อให้ผู้ชมเข้าใจ ก่อนมาปล่อยของในภาคสอง ที่จัดหนักฉากแอ็คชั่นอลังการให้ดูกันจุใจ แต่เราจะรู้สึกได้ถึงการเดินเรื่องที่รวดเร็วมาก ฉากบางฉากที่โผล่มาแล้วเหมือน Skip ผ่านไปเลย จนเรารู้สึกเสียดายว่าถ้าได้ลงดีเทลนะ มันจะสนุกสุด ๆ ขนาดไหน โดยเฉพาะฉากการตายของบอสทั้งหลายที่ปูกันมายาว ๆ 2 ภาค แต่ตายง่ายตายเร็วเหลือเกิน เร็วกว่าลูกกระจ๊อกบางตัวอีก ทำให้อดคิดไม่ได้ว่า บางฉากที่สามารถตัดทอนได้ แล้วมาเพิ่มความยาวให้กับฉากที่น่าสนใจกว่า จะทำให้หนังสนุกยิ่งขึ้นไปกว่านี้อีกไหม

ด้วยความยาวของหนังเกือบ 3 ชั่วโมง การจะนั่งชมในโรงภาพยนตร์ ต้องเลือกที่นั่งให้ดีสักหน่อย และต้องเตรียมความพร้อมก่อนเข้าไปชม เพื่อให้ได้อรรถรสอย่างเต็มอิ่ม ยิ่งการชมในโรง IMAX การเลือกที่นั่งสำคัญมาก ๆ ต้องรู้จักตัวเองให้ดี หากเลือกที่นั่งผิด ชีวิตเปลี่ยนแน่นอน

4.75/5
เป็นหนังที่ต้องดู!! ยิ่งถ้าดูใน IMAX ได้ยิ่งดี ได้รับคำชมจากนักวิจารณ์ทั่วโลก ในแง่ของภาพยนตร์มหากาพย์ไซไฟมีความสมบูรณ์มาก ๆ ส่วนข้อด้อยเล็ก ๆ ที่เกิดขึ้น มันยากที่จะหลีกเลี่ยงได้ เพราะทุกอย่างมีทั้งข้อดีและข้อเสียอยู่แล้ว ส่วนตัว “หมีเช” อยากให้มีฉบับความยาวแบบจุใจไปเลยออกมาฉายในอนาคต เพราะรู้สึกว่ามีหลาย ๆ ฉากของหนังที่ถูกตัดสั้นเกินไป ถ้ามันยาวกว่านี้ได้ หนังจะสนุกสุด ๆ

หมีเช