ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ถือเป็นช่วงเวลาที่ทีมชาติไทย มีนักเตะในตำแหน่งผู้รักษาประตู ก้าวขึ้นมาเป็นตัวเลือกมากหน้าหลายตาให้ มาซาทาดะ อิชิอิ กุนซือ “ช้างศึก เสี่ยงมาลัยเรียกมาใช้งาน

นอกจาก 3 คนที่อยู่ในชุดเอเชียน คัพ อย่าง ปฏิวัติ คำไหม, สรานนท์ อนุอินทร์ และ ศิวรักษ์ เทศสูงเนิน แล้ว ยังมีพวกที่อยู่ในข่ายเคยติดมาแล้วไม่ว่าจะเป็น ฉัตรชัย บุตรพรม, กัมพล ปฐมอรรฆย์กุล หรือ จิรวัฒน์ วังทะพันธ์ ไปจนถึงพวกที่ฟอร์มดีจนหลายคนรลุ้นให้มีชื่อบ้าง อย่าง นนท์ ม่วงงาม

และล่าสุด ทีมชาติไทยชุดเตรียมทำศึกฟุตบอลโลก 2026 รอบคัดเลือก โซนเอเชีย 2 นัดกับ เกาหลีใต้ ที่โซล เวิลด์ คัพ สเตเดี้ยม ในวันที่ 21 มี.ค. ก่อนเปิดราชมังคลากีฬาสถานต้อนรับ “โสมขาว” ในวันที่ 26 มี.ค. ก็ได้โอกาสต้อนรับนายทวารป้ายแดงบนทำเนียบ “ช้างศึก” นั่นคือ “ตี๋” บุญยเกียรติ วงศ์ษาแจ่ม มือกาวรูปหล่อจาก “ช้างป่าห้วยขาแข้ง” อุทัยธานี เอฟซี

และเส้นทางที่ผ่านมาของ บุญยเกียรติ กว่าจะมาถึงวันที่มีตรา “ช้างศึก” ติดหน้าอกนั้น มันก็ไม่ใช่ได้มาโดยง่ายดาย…

ที่จริงแล้ว บุญยเกียรติ มีชื่อเล่นจริง ๆ ว่า “ภาค” ปัจจุบันอายุ 29 ปีแล้ว สูง 184 เซนติเมตร เป็นชาวลำพูนโดยกำเนิด โดยตั้งแต่เด็กเขาเป็นคนชอบเล่นกีฬา โดยเฉพาะกรีฑา จึงคิดจะไปสมัครเข้าเรียนที่โรงเรียนกีฬา แต่ดันจำวันสอบผิด จึงต้องเบนเข็มไปเรียนที่โรงเรียนเมธีวุฒิกรแทน จนจบชั้นมัธยมปลาย

และที่นั่นเอง คือที่ที่ “ตี๋” ได้เริ่มต้นเส้นทางบนถนนลูกหนัง และด้วยความเป็นคนรูปร่างสูงใหญ่ เขาจึงถูกจับให้เล่นเป็นผู้รักษาประตู ก่อนจะเริ่มจริงจังกับฟุตบอล โดยเข้ารับการฝึกวิชาลูกหนังที่อคาเดมีใน จ.ลำพูน ที่มี “โค้ชติ๊ก” สมชาติ ยิ้มศิริ คอยดูแล ก่อนจะได้โอกาสเข้าสู่ทีมเยาวชนของสโมสรลำพูน วอริเออร์ส ในเวลาต่อมา

แต่ด้วยความเป็นเด็กหนุ่มหน้าตาดี ขาวตี๋เหมือนโอปป้า จุดเปลี่ยนครั้งหนึ่งในชีวิตจึงมาถึงในช่วงที่ บุญยเกียรติ เรียนอยู่ที่มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม เมื่อได้เซ็นสัญญาเป็นนักร้องฝึกหัดของ GMM Grammy นั่นคือหัวเลี้ยวหัวต่อของชีวิตที่ “ตี๋” ต้องเลือก

อย่างไรก็ตาม สุดท้ายด้วยความหลงใหลในเกมอย่างเต็มเปี่ยม บุญยเกียรติ จึงเลือกลูกฟุตบอลมากกว่าไมโครโฟน เลือกสปอร์ตไลท์ของสนามกีฬา มากกว่าไฟฟอลโลว์บนเวทีคอนเสิร์ต เจ้าตัวเดินหน้าเต็มที่ไปสู่การเป็นนักฟุตบอลอาชีพ ขณะที่งานในวงการบันเทิงนั้น ก็อาศัยเวลาว่าง ๆ แว่บไปรับจ็อบบ้างเป็นครั้งคราว

นอกจากนี้ ด้วยความหล่อเหลา บุญยเกียรติ จึงถูกเลือกให้รับหน้าที่เป็นพรีเซนเตอร์ของรถไฟฟ้าสายสีแดง ร่วมกับเหล่านักแสดงทั้ง “แก้ม” ญาณิศา ธีราธร, “บอสตัน” ศุภเดช วิไลรัตน์, “หมู” ภูษณะ บัวงาม, “ปุ้ย” อรัญญา ประทุมทอง รวมถึงผู้ประกาศข่าวชื่อดังอย่าง “โบ๊ท” ชัยยศ มุกดาหาร ซึ่งถือเป็นนักฟุตบอลคนแรกที่ได้รับเกียรตินี้

ส่วนบนถนนลูกหนังอาชีพที่เจ้าตัวเลือกเป็นเป้าหมายหลักนั้น บุญยเกียรติ เริ่มต้นชีวิตนักฟุตบอลในเมืองกรุง ด้วยการไปซ้อมกับ แบงค็อก ยูไนเต็ด ภายใต้การดูแลของ “มหาโต” นิพนธ์ มาลานนท์ อดีตนายทวารทีมชาติไทย หลังจากผ่านไปปีกว่า เขาได้มีโอกาสไปซ้อมกับ อาร์มี ยูไนเต็ด และโชว์ฟอร์มเข้าตา จึงได้เซ็นสัญญาเป็นนักฟุตบอลอาชีพครั้งแรก เมื่อปี 2014

หลังจากนั้น บุญยเกียรติ พเนจรไปอยู่กับหลายสโมสร ไม่ว่าจะเป็น สุพรรณบุรี เอฟซี, ปตท.ระยอง, บีจี ปทุม ยูไนเต็ด, ราชนาวี เอฟซี รวมถึงถูกปล่อยยืมตัวไปอยู่ที่ อยุธยา ยูไนเต็ด ในช่วงสั้น ๆ ในช่วงที่อยู่กับ “บีจี”

อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ว่าเส้นทางบนถนนลูกหนังของเขาจะโรยด้วยกลีบกุหลาบ กับทุกทีมที่ว่ามานั้น “ตี๋” ไม่ค่อยได้รับโอกาสให้ลงเฝ้าเสาแบบยาว ๆ สักเท่าไหร่ ยกเว้นตอนย้ายไปเล่นให้ “ตะหานน้ำ” ราชนาวี เอฟซี ในซีซั่น 2020-21 ซึ่งเขาเก็บได้ถึง 6 คลีนชีต

เป็นที่มาให้เจ้าตัวได้ย้ายมาเล่นกับ อุทัยธานี ในฤดูกาลต่อมา และมีส่วนช่วยเซฟอุตลุด จนสามารถพา “ช้างป่าห้วยขาแข้ง” ขึ้นสู่ลีกสูงสุดได้สำเร็จในฤดูกาลนี้

และผลงานของ บุญยเกียรติ ยังคงยอดเยี่ยม จนกระทั่งไปเข้าตา มาซาทาดะ อิชิอิ จนได้รับโอกาสติดทีมชาติชุดใหญ่เป็นครั้งแรกในชีวิต โดยกุนซือชาวญี่ปุ่น ให้เหตุผลว่า “ตี๋” มีความสามารถเฉพาะตัวที่ดี มีสภาพร่างกายที่สูงใหญ่แข็งแกร่ง และมีการมีส่วนร่วมกับทีมที่ยอดเยี่ยม และที่สำคัญคือฟอร์มการเล่นส่วนตัวของเขาโดดเด่นและสมควรได้รับโอกาส

ในวันที่ได้รู้ว่าความฝันในการได้ติดทีมชาติไทยชุดใหญ่ของเขาเป็นจริง บุญยเกียรติ ก็ไม่ลืมที่จะยกหูไปหาผู้มีพระคุณในวงการฟุตบอล ไม่ว่าจะเป็น “โค้ชติ๊ก” สมชาติ ยิ้มศิริ รวมถึง “มหาโต” นิพนธ์ มาลานนท์ ที่ช่วยฝึกปรือฝีมือจนทำให้เขามีวันนี้

“ตอนที่ผมรู้ว่ามีชื่อติดทีมชาติไทย ตอนนั้นผมหูอื้อตาลายไปหมด ผมฝันมาตลอดมาเป็น 10 ปีว่าอยากจะติดทีมชาติไทยาสักครั้ง วันนี้ผมทำได้แล้วและจะโฟกัสกับโอกาสที่ได้รับ ส่วนเรื่องนอกสนามที่มีคนพูดถึง (เรื่องหน้าตา) ตรงนี้มีเพื่อนมาบอกเยอะเหมือนกัน แต่ผมไม่ได้เล่นโซเชียลมากนัก แต่ก็ขอขอบคุณแฟนคลับทุกท่าน”

ถือเป็นโอกาสครั้งใหญ่ในชีวิตของมือกาวรูปหล่อรายนี้ แม้โอกาสได้ลงสนามอาจมีไม่มาก แต่การได้ร่วมซ้อม ได้ร่วมอยู่ในบรรยากาศของทีมชาติ เป็นสิ่งที่ไม่ใช่ทุกคนที่จะมีโอกาสได้สัมผัสกันง่าย ๆ

และเมื่อมีโอกาส “เจ้าตี๋” คงต้องพยายามอย่างเต็มที่ในทุกการซ้อม เตรียมตัวเองให้พร้อมรับทุก ๆ คำสั่งและคำแนะนำ เพื่อสร้างความประทับใจให้คนเป็นกุนซืออย่าง อิชิอิ ให้ได้มากที่สุด

แม้ตำแหน่งนายทวารเมืองไทยมีให้เลือกมากมาย แต่ถ้าได้รับโอกาสแล้วทำผลงานได้เข้าตา ก็ไม่แน่เหมือนกันว่า “โอปป้าตี๋” อาจได้เป็นเลื่อนสถานะจากมือกาวหน้าใหม่ของทีมชาติ ขยับขึ้นมาเป็น “ขาประจำ” ก็เป็นได้

ใครจะไปรู้….

////////////////////////////////////

ปล. ขอบคุณภาพจากเพจ “ช้างศึก – ฟุตบอลทีมชาติไทย”, “ฟุตบอลทีมชาติไทย” และ “Uthai Thani FC”