เนื่องในโอกาสที่ปีนี้ ครบรอบ 60 ปี ที่ญี่ปุ่นได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (โออีซีดี) จึงถือเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ที่ญี่ปุ่นจะได้เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมนี้ ในฐานะประธานคณะมนตรีโออีซีดี (เอ็มซีเอ็ม )โดยมีอินโดนีเซีย ไทย เวียดนาม สิงคโปร์ และลาว ซึ่งทำหน้าที่ประธานสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) รวมทั้งสํานักงานเลขาธิการอาเซียน เข้าร่วมในการประชุมครั้งนี้ด้วย

ในฐานะที่เป็นหนึ่งในไม่กี่ประเทศจากเอเชีย ซึ่งได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกโออีซีดี ญี่ปุ่นจะเน้นย้ำถึงความสำคัญของการให้โออีซีดี เข้าไปมีส่วนร่วมกับภูมิภาคอินโด-แปซิฟิก โดยร่วมมือกับนานาประเทศในภูมิภาคที่สำคัญนี้ ในการร่วมกันวางนโยบายที่มีประสิทธิภาพ เพื่อผลักดันให้มีการพัฒนาอย่างครอบคลุมและยั่งยืนเกิดขึ้นได้จริง และค้นหาแนวทางในการสร้างกฎระเบียบร่วมกันที่ดียิ่งขึ้น   

นางคามิกาวะ โยโกะ รมว.กระทรวงการต่างประเทศญี่ปุ่น

สืบเนื่องมาจากการเฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปี ความสัมพันธ์ญี่ปุ่น – อาเซียน เมื่อปีที่ผ่านมา ในปี 2567 เราได้เห็นถึงความก้าวหน้าที่สำคัญของความสัมพันธ์ ระหว่างโออีซีดี กับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การที่ไทยหนึ่งในประเทศซึ่งมีความก้าวหน้ามากที่สุด ในเขตเศรษฐกิจของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แสดงเจตจำนงที่เข้าร่วมเป็นสมาชิกโออีซีดี การตัดสินใจในครั้งนี้ ถือเป็นผลสำเร็จจากการที่ไทยมีส่วนร่วมกับโออีซีดี มาโดยตลอด

นอกจากนี้ โออีซีดียังได้เริ่มพิจารณาการเข้าร่วมเป็นสมาชิกของอินโดนีเซีย ทั้งนี้ เมื่อปี พ.ศ. 2565 สิงคโปร์และสํานักงานเลขาธิการอาเซียน ต่างได้ร่วมลงนามในบันทึกความเข้าใจกับโออีซีดี เนื่องในโอกาสแห่งความทรงจำนี้ ข้าพเจ้าขอทบทวนถึงความสำคัญของการที่โออีซีดี ได้เข้าไปมีส่วนร่วมในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การแสดงเจตจำนงของไทย ในการเข้าร่วมเป็นสมาชิกโออีซีดี

โออีซีดีในฐานะองค์กรระหว่างประเทศ ส่งเสริมการพัฒนาทางเศรษฐกิจ ที่มีบทบาทสำคัญในการสร้างกฎระเบียบ เสนอแนะแนวทางการวางนโยบาย และสร้างแนวทางปฏิบัติที่หลากหลาย ผ่านการรวบรวมข้อมูลแนวปฏิบัติที่เป็นเลิศและการพิจารณาตรวจสอบระหว่างกลุ่มประเทศสมาชิก ซึ่งกฎระเบียบและมาตรฐานที่กำหนดโดยโออีซีดี นั้นได้กลายมาเป็นรากฐานของการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างมั่นคงทั่วโลก   

ด้วยการเข้ามามีส่วนร่วมมากยิ่งขึ้นของ โออีซีดี ไทยจะได้รับผลประโยชน์โดยสามารถใช้ข้อมูลและผลการวิเคราะห์จาก ออีซีดี ในการปฏิรูปภายในประเทศในส่วนที่จำเป็น รวมถึงได้รับข้อเสนอแนะมากมายที่จะช่วยให้ประเทศสามารถหลุดพ้นจากกับดักรายได้ปานกลาง และที่สำคัญยิ่งกว่านั้น เมื่อไทยนำกฎระเบียบและมาตรฐานของโออีซีดีมาใช้ จะช่วยดึงดูดภาคเอกชนให้เข้ามาลงทุนได้มากขึ้นด้วย ซึ่งถือเป็นเรื่องดีสำหรับไทย เพราะเมื่อมีเงินลงทุนจากทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ก็จะสามารถอุดช่องว่างของอุปสงค์ด้านเงินทุนได้ และนำไปสู่การเติบโตทางเศรษฐกิจแบบก้าวกระโดด และการพัฒนาอย่างยั่งยืนให้เกิดขึ้นได้จริง   

อีกด้านหนึ่ง โออีซีดีควรตอบสนองต่อสภาพที่แท้จริงของเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ผ่านการรับฟังความคิดเห็นของประเทศในภูมิภาคนี้ เพื่อกำหนดกฎระเบียบของยุคสมัยใหม่ ในปี 2543 มูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ ( จีดีพี )ของกลุ่มประเทศสมาชิกโออีซีดี ซึ่งคิดเป็น 80% ของ จีดีพีโลก ได้ลดต่ำลงมาอยู่ที่ 60% เมื่อปี 2563 

แม้ศูนย์กลางการเติบโตทางเศรษฐกิจโลกจะเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม แต่ประเทศสมาชิกของโออีซีดี ทั้งหมด 38 ประเทศ กลับยังคงเป็นกลุ่มประเทศยุโรปมากถึง 26 ประเทศ และมีประเทศในแถบเอเชีย-แปซิฟิกเพียง 4 ประเทศเท่านั้น ได้แก่ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ออสเตรเลีย และนิวซีแลนด์ ถึงแม้ว่าที่ผ่านมา โออีซีดี ได้มีบทบาทสำคัญบนเวทีโลก เช่น ส่งเสริมการค้าเสรี และบรรลุเป้าหมายในการพัฒนาเศรษฐกิจแบบยั่งยืน

จึงถึงเวลาแล้วที่ โออีซีดี ควรจะต้องส่งเสริมและกระชับความสัมพันธ์กับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อส่งเสริมความเชื่อมโยงและอิทธิพลบนเวทีโลก รวมถึงขยายขอบเขตของความหลากหลาย เพื่อตอบสนองต่อความเปลี่ยนแปลงของพลวัตทางเศรษฐกิจด้วย กฎระเบียบจะสามารถบรรลุเป้าหมายที่แท้จริงได้ ก็ต่อเมื่อผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสียสามารถเข้าไปมีส่วนร่วม ทั้งในการร่างกฎระเบียบและบังคับใช้จริงเท่านั้น ข้าพเจ้าคิดว่า กุญแจสำคัญในการแก้ไขปัญหานี้ คือโออีซีดีเข้ามากระชับความสัมพันธ์กับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่มีการเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างก้าวกระโดดมากที่สุดในโลก 

เพื่อผลักดันการเข้ามามีส่วนร่วมในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิกของ โออีซีดี ให้เดินหน้าต่อไป ในปีนี้ ถือเป็นโอกาสครบรอบ 10 ปี โครงการ OECD Southeast Asia Regional Programme (SEARP) ที่จัดตั้งในการประชุมเอ็มซีเอ็ม เมื่อปี 2557 ซึ่งริเริ่มโดยญี่ปุ่น เพื่อสนับสนุนการมีส่วนร่วมของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และ โออีซีดีให้มากยิ่งขึ้น ในโอกาสสำคัญนี้ ญี่ปุ่นมุ่งมั่นเป็นอย่างยิ่ง ในการทำหน้าที่เป็นสะพานเชื่อมสายสัมพันธ์ระหว่าง โออีซีดี กับภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อเตรียมความพร้อมให้การเติบโตอย่างยั่งยืน ของทั้งเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และเศรษฐกิจโลก   

ในฐานะประธานการประชุม ญี่ปุ่นยังได้เตรียมหัวข้อที่ครอบคลุมในหลายมิติ มานำเสนอในวาระการประชุมเอ็มซีเอ็ม เช่น ความเท่าเทียมทางเพศ และการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ เพื่อสนับสนุนการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืน (SDGs) ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ญี่ปุ่นจะใช้โอกาสนี้ มุ่งเน้นให้ โออีซีดีเข้ามามีส่วนร่วมในภูมิภาคอินโด-แปซิฟิกมากยิ่งขึ้น และส่งเสริมเสรีภาพ และความยุติธรรมทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศอันมีกฎระเบียบเป็นพื้นฐาน.

เครดิตภาพ : สถานเอกอัครราชทูตญี่ปุ่นประจำประเทศไทย