เมื่อ 65 ปีก่อน ออสการ์ แฮกเคตต์ นีล มอสส์ หนุ่มนักสำรวจชาวอังกฤษวัยเพียง 20 ปีไม่เคยคาดคิดว่ากิจกรรมที่เขาชื่นชอบจะทำให้เขากลายเป็นตำนานแห่งโศกนาฏกรรมนักสำรวจถ้ำมือสมัครเล่น
การเสียชีวิตของมอสส์กลายเป็นมรณกรรมสุดเลวร้ายที่สุดกรณีหนึ่งในหน้าประวัติศาสตร์ของนักสำรวจในอังกฤษ หลังจากที่เขาพยายามจะลงไปสำรวจพื้นที่ถ้ำใต้ดิน “พีค” ในเขตดาร์บีเชอร์ที่ไม่มีใครเคยไปถึงมาก่อน และแล้วความผิดพลาดระหว่างทางก็ทำให้เขาต้องติดอยู่ใต้พื้นดินตลอดกาล
มอสส์ซึ่งเพิ่งจบการศึกษาระดับปริญญาตรีจากมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด เป็นทั้งนักกีฬาและชื่นชอบการสำรวจพื้นที่แปลกใหม่ เขาตัดสินใจว่าจะลงไปสำรวจถ้ำแห่งหนึ่งที่เจาะลึกลงไปใต้ดินในโครงข่ายถ้ำใต้ดินในหมู่บ้านแคสเซิลตัน เขตดาร์บีเชอร์ เมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2502

ในวันนั้น มอสส์หรือที่เพื่อน ๆ และครอบครัวของเขาชอบเรียกว่า “นีล” ร่วมขบวนของกลุ่มนักนิยมสำรวจถ้ำแห่งสมาคมถ้ำวิทยาแห่งอังกฤษ โดยหวังจะได้ผจญภัยอย่างเต็มที่ แต่ไม่เคยคิดว่าเขาจะต้องทิ้งชีวิตไว้ที่นั่น
ชายหนุ่มรวมกลุ่มกับนักสำรวจถ้ำที่เต็มไปด้วยความกระตือรือร้นที่จะลงไปตรวจสอบทางเข้าแคบ ๆ ในถ้ำที่มีหินงอกหินย้อยที่เพิ่งถูกค้นพบก่อนหน้านั้นเพียง 2 สัปดาห์
หลังจากที่ลงถึงถ้ำดังกล่าวซึ่งอยู่ลึกลงไปใต้พื้นดินราว 300 เมตร พวกเขาก็ตัดสินใจให้มอสส์ลงไปสำรวจปล่องแยกในถ้ำซึ่งมีขนาดเล็กแคบอยู่ในแนวดิ่ง โดยหวังจะให้เขาเป็นผู้สร้างประวัติศาสตร์ เป็นคนแรกที่สามารถลงไปดูในปล่องถ้ำดังกล่าวได้สำเร็จ

แม้ว่ามอสส์จะสูงถึง 180 ซม. ซึ่งไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นคนตัวเล็ก แต่เขามีรูปร่างผอมเพรียว จึงเป็นตัวเลือกที่ดี
ก่อนหน้านั้น นักสำรวจถ้ำคนอื่น ๆ อีก 4 คนเคยพยายามลงไปสำรวจปล่องดังกล่าวมาแล้ว และประเมินว่าปล่องนี้น่าจะลึกประมาณ 40 ฟุตหรือ 12 เมตร และยังมีช่วงหักเลี้ยวระหว่างทาง ไม่ใช่ปล่องที่เป็นช่องลงไปตรง ๆ จึงทำให้ลงไปสำรวจได้ยาก

มอสส์ลงไปในปล่อง ผ่านช่วงหักเลี้ยวถึงระดับความลึกมากกว่า 30 ฟุตหรือเกือบ 10 เมตร แต่ทันใดนั้นเขาก็ติดอยู่ในปล่องเพราะมีก้อนหินขวาง ไม่สามารถลงต่อไปได้อีก ขณะเดียวกันก็ไม่สามารถปีนบันไดกลับขึ้นไปได้เองเพราะปล่องนั้นแคบมากและหินก็ขวางทางเขาจนแทบขยับตัวไม่ได้
กลุ่มคนที่อยู่ด้านบนส่งบันไดอันใหม่ลงไปให้มอสส์ แต่เขาก็ไม่สามารถเบียดตัวเองขึ้นมาเพื่อใช้บันไดได้ ต่อมาทีมที่เหลือก็ส่งเชือกลงไปให้เขาผูกตัวเองไว้ หวังจะช่วยดึงร่างของเขาขึ้นมา แต่เชือกก็ขาดเสียก่อนหลายต่อหลายครั้ง มอสส์ได้แต่ตะโกนบอกเพื่อนร่วมทีมว่าเขาติดอยู่ข้างล่างและขยับไม่ได้เลย
แต่สิ่งที่เลวร้ายที่สุดก็คือ ร่างของมอสส์ที่ติดคาอยู่ในปล่องได้ขวางกั้นอากาศไม่ให้เกิดการถ่ายเทและทำให้พื้นที่รอบตัวเขามีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ซึ่งมาจากลมหายใจของเขาเอง
มอสส์เริ่มไม่มีสติเพราะสมองขาดออกซิเจน ในไม่ช้า เพื่อน ๆ อีก 7 คนของเขาก็เริ่มมีอาการแบบเดียวกันจนกระทั่งมี 3 คนหมดสติไปในถ้ำระหว่างที่รอคอยทีมกู้ภัย
ถึงตอนนี้ การติดถ้ำชายหนุ่มได้กลายเป็นวาระแห่งชาติ ทั้งมืออาชีพการกู้ภัยในถ้ำและเจ้าหน้าที่จากกองทัพและหน่วยงานราชการอื่น ๆ ต่างระดมกำลังคนมาช่วยเหลือ ขณะที่ครอบครัวของมอสส์ได้แต่รอคอยลูกชายด้วยความเป็นกังวล
แต่มอสส์ก็โชคร้ายนัก เพราะมาตรการช่วยเหลือต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการส่งคนลงไปในปล่องเพื่อฉุดเขาขึ้นมาหรือส่งออกซิเจน ล้วนแต่ไม่ได้ผลหรือช่วยอะไรไม่ได้มากนัก และไม่สามารถดึงร่างของเขาขึ้นมาได้เลย
อุปสรรคใหญ่ของการช่วยเหลือคืออากาศที่ไม่มีออกซิเจนในปล่อง ทำให้ทีมช่วยเหลือที่ลงไปเกิดอาการมึนงง เกือบสลบ อย่าว่าแต่จะช่วยดึงคนออกมาได้เลย หนำซ้ำยังมีฝนตกหนักจนน้ำท่วมถ้ำและต้องยุติปฏิบัติการช่วยเหลือไปชั่วคราว
ในเช้าวันที่ 24 มีนาคม 2502 ความเคลื่อนไหวของมอสส์ก็หยุดชะงักลง ทีมช่วยเหลือไม่ได้ยินเสียงหายใจของมอสส์ จึงส่งทีมแพทย์ของกองทัพอากาศอังกฤษลงไปตรวจสอบและต่อมาทีมแพทย์ประกาศว่ามอสส์เสียชีวิตอย่างเป็นทางการ เมื่อเวลา 03.00 น. ของวันนั้น แม้ว่าจะไม่ได้เห็นศพ
ทีมกู้ชีพทั้งหมดพยายามจะนำร่างของมอสส์ออกมาให้ได้ แต่เอริก มอสส์ พ่อของเขาซึ่งรอคอยลูกชายมากว่า 2 วันกลับตัดสินใจว่าจะให้ลูกชายของเขาพักผ่อนอย่างสงบตลอดกาลอยู่ในปล่องถ้ำแห่งนั้น เพื่อจะได้ไม่เปิดโอกาสให้ใครมาทำเรื่องเสี่ยงชีวิตแบบนี้อีก
หลังจากนั้น พวกเขาก็ช่วยกันนำหินก้อนใหญ่มาปิดปากทางเข้าปล่องที่มีร่างของมอสส์อยู่ข้างใน ซึ่งต่อมาก็มีผู้สลักข้อความระบุชื่อของมอสส์และปีค.ศ.ที่เขาเสียชีวิตเอาไว้
ส่วนถ้ำพีคซึ่งมีหินงอกหินย้อยสวยงามนั้นก็ได้รับการเปลี่ยนชื่อเป็นถ้ำ “มอสส์” ในเวลาต่อมา
ที่มา : ladbible.com
เครดิตภาพ : YouTube/@submerged-yt