หลังจากประสบความสำเร็จโกยรายได้ไปกว่า 75.1 ล้านเหรียญในสหรัฐ จากหนัง Beetlejuice ผู้กำกับชื่อดัง “ทิม เบอร์ตัน” ก็กลับมาทำหนังภาคต่อโดยใช้ชื่อว่า Beetlejuice Beetlejuice หรือ บีเทิลจู๊ดส์ บีเทิลจู๊ดส์ เข้าฉายในไทยเมื่อวันที่ 5 กันยายนที่ผ่านมา รายได้ผ่าน 1 สัปดาห์อยู่ที่ 3.87 ล้านบาท ขณะที่หนังไปทำเงินในประเทศตัวเองสูงถึง 145.4 ล้านเหรียญ
สำหรับภาคแรก Beetlejuice (1998) จะเป็นเรื่องราวของ คู่สามีภรรยาครอบครัว “เมตแลนด์” เจ้าของบ้านทรงสูงบนเนินเขาได้เสียชีวิตลงจากอุบัติเหตุรถตกสะพานจมน้ำ แต่วิญญาณของเขายังอยู่ในบ้านเพื่อรอเวลาเรียกตัวไปยัง “ยมโลก” ระหว่างนั้นครอบครัว “ดีทซ์” โดย เชสเตอร์ (พ่อ), ดีลล่าห์ (แม่เลี้ยง) และ ลิเดีย (ลูกสาว) ได้เข้ามาอยู่อาศัย ฝ่ายผีสามี-ภรรยาไม่ยินยอม จึงได้เรียกใช้บริการปีศาจตัวแสบ “บีเทิลจู๊ดส์” ให้ช่วยไล่คนในบ้านออกไปให้หมด ปรากฏว่าเรื่องไม่ง่ายอย่างที่คิด เพราะยิ่งไล่ก็ยิ่งไม่กลัว พวกคนเป็นมีความโลภต้องการให้เหล่าผี ๆ มาทำธุรกิจร่วมกัน
ท้ายที่สุด ฝ่ายผีสามี-ภรรยา เลือกที่จะจับมือกับ “ลิเดีย” เพื่อขับไล่ “บีเทิลจู๊ดส์” ตัวอันตรายออกไป และอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข เวลาผ่านไปกว่า 26 ปี ลิเดีย เติบโตเป็นสาวแต่งงานมีสามีและลูกสาว ก่อนที่ชีวิตจะพลิกผัน สามีอันเป็นที่รักหายสาบสูญ ขณะที่ลูกสาวก็ทำตัวเหินห่าง สาเหตุก็เพราะเธอมีความสามารถในการมองเห็นวิญาณคนตาย กระทั่งวันหนึ่ง “ลิเดีย” ต้องกลับมายังบ้านหลังเก่าและพบเจอกับ “บีเทิลจู๊ดส์” เรื่องราวความวายป่วงจึงได้กลับมาอีกครั้ง
จุดแข็ง ถือเป็นงานโชว์เคสตามแบบฉบับของ “ทิม เบอร์ตัน” แนวโกธิกมืดหม่น แต่เปี่ยมล้นไปด้วยเสน่ห์ คงเส้นคงวากับความสยอดสยอง เทคนิคการถ่ายทำแบบ Stop Motion ก็ยังถูกนำมาใช้เหมือนภาคแรก แต่จะมีอารมณ์ของสับสนวุ่นวายและบันเทิงไปพร้อม ๆ กัน ส่วนในเรื่องบทหนัง ภาคนี้เน้นการสานต่อจากรุ่นแม่สู้รุ่นลูก โดยในเรื่อง “ลิเดีย” รับบทโดย “วิโนนา ไรเดอร์” เธอได้กลับมาเล่นอีกครั้ง จากเด็กสาวเติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้วยังได้ดาราสาวสุดสวย “เจนนา ออร์เตกา” มารับเป็น “แอสดริด ดีทซ์” ลูกสาวของ “ลิเดีย” ด้วย ยิ่งทำให้หนังดูเจิสจรัสครบเครื่องมากขึ้นเท่าตัว ที่แน่ ๆ หนังยังได้ “วิลเลม เดโฟ” กับ “โมนิกา เบลลุคชี” ดาราดังในยุค 80s มาเชือดเฉือนบทบาท ก็ยิ่งทำให้หนังน่าสนใจมีมิติของความน่าเกรงขามมากขึ้นไปอีก.
จุดอ่อน ในช่วงองค์แรกหนังนำเสนอได้น่าสนใจผูกโยงเรื่องราวได้ดี แต่พอเข้าสู้องค์ 2 และ 3 ดูเหมือนจะบานปลายออกทะเลไปเรื่อย ยังดีที่องค์สุดท้ายตบบทให้กลับมาได้แบบเฉียดฉิว สิ่งที่ต้องติติงมาก ๆ ก็คือ บทของ “โมนิกา เบลลุคชี” ที่ผุบ ๆโผล่ ๆ มันเหมือนออกมาโชว์ตัวแล้วก็หายไป ทำให้รู้สึกไม่ค่อยอินกับความร้ายกาจของตัวละครันี้
5/5 กะโหลก สำหรับความเพลิดเพลินกับผลงานสุดคลาสิคแสนวิเศษของ “ทิม เบอร์ตัน” ที่ไม่ว่าแฟนหนังรุ่นไหนมาดูก็ต้องยกนิ้วให้ จัดเต็มทั้งแสง สี เสียง บทบาทนักแสดงที่เล่นได้ดีอย่างสุด ๆ โดยเฉพาะ “เจนนา ออร์เตกา”
———————————————
คอลัมน์ : ดูหนังกับหมี
โดย : แพนด้าอ้วน
ขอบคุณภาพและข้อมูลจาก Warner Bros. Pictures