หากพูดถึงไอดอลเคป็อบมากความสามารถ และได้รับความนิยมระดับสูง หนึ่งในนั้นต้องยกให้ “ซูเปอร์ เอ็ม (Super M)” บอยแบนด์แห่งค่ายยักษ์ “เอสเอ็ม” ที่เกิดจากการรวมตัวของศิลปินตัวท็อปในค่าย ทั้ง ไค และ แบคฮยอน จาก “เอ็กซ์โซ” , แทมิน จาก “ชายนี่” , มาร์ค และ แทยง จาก “เอ็นซีที 127” ส่วน เตนล์ หรือ ชิตพล ลี้ชัยพรกุล ไอดอลสายเลือดไทย และ ลูคัส มาจาก “เวย์วี”  โดยหลังหนุ่ม ๆ เดบิวท์เมื่อปี 2019 โดยทางวงได้มุ่งไปที่ตลาดเพลงสากล พร้อมผลงานสุดปังกับมินิอัลบั้มชุดแรก และซิงเกิลเปิดตัว อย่าง “Jopping” ที่สร้างสถิติเป็นวงจากเอเชียวงแรก ที่ทำอัลบั้มเดบิวต์ครองอันดับ 1 บนชาร์ต บิลบอร์ด 200 ได้ รวมทั้ง 7 หนุ่มก็ยังคงได้รับการตอบรับอย่างร้อนแรงอย่างต่อเนื่อง

ล่าสุด “ซูเปอร์ เอ็ม” ได้ร่วมงานกับพรูเด็นเชียล คอร์ปอเรชั่น เอเชีย ผุดแคมเปญ “We DO Well Together”  พร้อมกับปล่อยเพลง  “วี ดู (We DO)”  ที่มอบพลังบวกและความเข้มแข็งให้กับแฟน ๆ และเมื่อไม่นานมานี้ ทั้ง 7 หนุ่มได้เปิดใจพูดคุยกับเว็บดัง “metro.style”  ถึงการทำงานครั้งนี้ รวมไปถึงเรื่องราวและความผูกพันกันของสมาชิกในวง งานนี้ “ฮาอึน” จึงไม่พลาดแปลบทสัมภาษณ์ครั้งนี้ มากแฟน ๆ กันให้ได้หายคิดถึง

จากความสำเร็จของซิงเกิ้ลล่าสุด “We DO” โดย “ซูเปอร์ เอ็ม” ได้ลงลึกถึงเหตุผลที่พวกเขาต้องการที่ปล่อยเพลงที่มีจังหวะ และเต็มไปด้วยความหวังในเวลาแบบนี้ ไค เผยว่า “หากคุณฟังเพียงเพลง “วี ดู” และดูเอ็มวีเฉย ๆ คุณอาจคิดว่ามันก็เป็นเพียงเพลงที่มีจังหวะสนุก ๆ แต่หากได้อ่านเนื้อเพลงด้วย มันมีความหมายถึงข้อความที่บอกว่าเราสามารถทำมันได้ และไม่มีอะไรที่เราไม่สามารถทำมันให้สำเร็จได้ครับ”  แทมิน เสริมว่า “ผมหวังว่าผู้คนจะสามารถค้นหาความเข้มแข็งได้ผ่านเพลงนี้ และเอาชนะความยากลำบากนี้ไปด้วยกันนะครับ”

โดยพื้นฐานแล้ว เพลงนี้เป็นเพลงสำหรับทุกคนที่กำลังค้นหาทัศนคติที่ว่าเราสามารถทำได้ จากเรื่องยากลำบากมากมาย ที่เข้ามาหาเราในทุกทิศทาง เพราะวิกฤติโควิด 19 ที่กำลังแพร่ระบาดอย่างหนักมากว่า 1 ปีแล้ว “ซูเปอร์ เอ็ม” รู้สึกว่ามันเป็นสิ่งสำคัญ ในการย้ำเตือนทุกคนว่า เรายังคงสามารถที่เอาชนะมันได้

ด้าน แทยง ได้ชี้ให้เห็นว่า ความจริงแล้ว “ซูเปอร์ เอ็ม” ไม่ใช่วงดั้งเดิม ที่มีมาแบบออริจินอล สมาชิกทั้ง 7 คน มาวงอื่น ๆ ซึ่งการที่พวกเขาจะรวมตัวกันได้นั้นก็ไม่ใช่เรื่องง่าย สำหรับ แทยง เขาหวังว่าผู้คนจะสามารถเรียนรู้ได้ถึงวิธีการเอาชนะความแตกต่างกัน และมองเห็นว่าเราทุกคนนั้นมีอะไรที่เหมือนกันมากกว่าที่คิด และนั่นเป็นบทเรียนสำคัญสำหรับการสอน ในช่วงเวลาที่คนมากมายค้นพบเหตุผลในการหว่านความแตกแยก

แทยง เผยว่า “ผู้คนที่มาจากส่วนต่าง ๆ ที่แตกต่างกันบนโลกใบนี้ สามารถที่จะอยู่ด้วยกันและแบ่งปันความรักซึ่งกันและกันได้ครับ ผมเชื่อว่าเราสามารถค่อย ๆ ปรับปรุง และค้นหาความสุขในชีวิตได้ หากเรามาอยู่รวมกัน แทนที่จะทำอะไรเพียงลำพง ในฐานะตัวคนเดียว ผมหวังว่าทุกคนจะได้รับพลังจากผมและซูเปอร์ เอ็ม นะครับ”

 จากความคิดเห็นของสมาชิก “ซูเปอร์ เอ็ม” ได้ทำให้เพลง “We DO” เป็นคำเชื้อเชิญถึงแฟน ๆ ของพวกเขา ให้ยังคงพยายามก้าวผ่านความท้าทายต่อไป ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใหญ่สักแค่ไหน  

แทมิน ให้ความเห็นว่า  “ในฐานะของกลุ่มคนที่ทำงานด้านดนตรี พวกเรารู้สึกภูมิใจมากที่สามารถแพร่กระจายพลังด้านบวกผ่านบทเพลงนี้ และก็ได้รับพละกำลังกลับมาเช่นกัน จากผู้คนที่สนุกไปกับการมีส่วนร่วมในเพลงนี้พร้อมกับพวกเราครับ” ไค เสริมต่อ “หากคุณได้ฟังอัลบั้มก่อนหน้านี้ของพวกเรา อย่าง “ซูเปอร์ วัน (Super One)” เราพยายามที่ถ่ายทอดข้อความแห่งความหวังท่ามกลางช่วงเวลาการแพร่ระบาดเชื้อไวรัสครั้งใหญ่นี้ สำหรับเพลง “วี ดู” นั้นพิเศษ เพราะเราใช้ความพยายามเช่นเดียวกัน ในการส่งข้อความที่จะให้กำลังใจอย่างต่อเนื่อง ดังนั้นผมก็หวังว่าผู้คนมากมาย จะสามารถค้นพบพลังความมั่นใจ และพลังในการรู้สึกที่จะสามารถทำมันได้อีกครั้ง ผ่านเพลงนี้ครับ”

แน่นอนว่าเพลงนี้ยังมีความพิเศษ ด้วยความจริงที่ว่า  การแสดงสิ่งที่ “ซูเปอร์ เอ็ม” ทำได้ยอดเยี่ยมนั้น มีอย่างมากมาย ทั้งการเคลื่อนไหวที่หนักแน่นพร้อมเพรียง การแร็ป การร้องได้สองภาษา รวมถึงการเล่นกล้อง ที่ทำให้แฟน ๆ ของพวกเขาต้องสลบ เตนล์ บอกว่า “ผมชอบส่วนของผมหลาย ๆ ด้านนะครับ ผมสนุกมากในการอัดเสียง และร้องมันในสไตล์ที่ผมไม่เคยทำมาก่อน ดังนั้นมันจึงรู้สึกพิเศษมาก ๆ สำหรับผมครับ”

เมื่อมองย้อนกลับไปดูประสบการณ์การถ่ายทำ “We DO” และการแสดงของพวกเขา ไม่ว่าจะเป็นไลฟ์สดหรือการถ่ายทำเทป “ซูเปอร์ เอ็ม” นั้นเห็นด้วยว่า พวกเขาจะไม่มีพลังรวมถึงแรงกระตุ้นทั้งหมดนั้นได้เลย หากขาดจิตใจและร่างกาย ที่เหมาะกับงานที่พวกเขาทำ  การสนับสนุนจากแฟน ๆ และทีมงานเบื้องหลัง รวมถึงการมีกันและกัน

มาร์ค เผยว่า “ผมรู้ดีว่าผมไม่เคยโดดเดี่ยวเลย ไม่ว่าจะทุกข์หรือสุขของการฝึกซ้อมและการแสดง เราทั้งหมดทุกคนพยายามแบ่งปันพลังด้านบวกให้กันและกันครับ”  ส่วน  แทยง สรุปได้อย่างสมบูรณ์แบบว่า “แฟน ๆ ของเรานั้นให้การสนับสนุนพวกเรามากมาย และสมาชิกเองก็ต่างไว้วางใจกัน รวมทั้งครอบครัวของผม ก็คอยช่วยเหลือผมเช่นกัน ให้ผมนั้นยังคงมีพลังในระดับสูงอยู่เสมอ ตอนที่ผมต้องก้าวผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบาก สิ่งต่าง ๆ จะดีขึ้นหลังจากที่ผมได้เจอและเห็นหน้าพวกเขาครับ”

หากมีสิ่งหนึ่งที่เราทุกคนเห็นด้วย นั่นก็คือการที่ “ซูเปอร์ เอ็ม”  พยายามผลักดันตัวเองให้สามารถในการตอบแทนแบบหนึ่งร้อยเปอร์เซ็นต์ จากวันแรกพวกเขานั้นเชื่อว่าทุกคน ตั้งแต่แฟน ๆ  ไปจนถึงสต๊าฟของพวกเขา สมควรได้รับสิ่งที่ดีที่สุดจาก “ซูเปอร์ เอ็ม”  พวกเขาปฏิเสธการทำตัวเฉื่อยชา เพราะว่าหากไม่มีผู้คนเหล่านี้แล้ว “ซูเปอร์ เอ็ม”  คงไม่สมารถมาอยู่ตรงนี้ในวันนี้ได้

สำหรับผู้คนที่ได้อยู่กับ “ซูเปอร์ เอ็ม”  มาตั้งแต่แรกเริ่ม คงไม่แปลกใจในการที่จะเรียนรู้ว่าองค์ประกอบของการแสดงที่พวกเขาฝึกซ้อมกันมากที่สุด ก็คือการออกแบบท่าเต้น การฝึกฝนรูปแบบท่าเต้นให้ชำนาญ เป็นส่วนสำคัญสำหรับเสน่ห์ของศิลปินเกาหลี ซึ่งสมาชิกของ “ซูเปอร์ เอ็ม”  มักจะมีอยู่เหนือเกมการเต้นของพวกเขาเสมอ

ประเด็นก็คือ หนุ่ม ๆ ใช้ชีวิตเพื่อการเต้น ซึ่งมันไม่ใช่งานที่น่าเบื่อ ไม่ใช่การลงโทษ ไม่ใช่สิ่งที่พวกเขาทำเพียงเพราะแค่ทำ แทมิน เผยว่า “การเต้นนั้นคือการแสดงอารมณ์ผ่านทางร่างกาย โดยไม่ต้องมีคำพูดใด ๆ และในบางครั้ง มันก็มีพลังมากกว่าคำพูดซะอีกครับ” ด้าน ไค ให้ความเห็นว่า “นอกจากนั้น เมื่อคุณได้ทำเพื่อสิ่งรัก ผมคิดว่าคุณจะได้รับพลังบวกกลับมาเช่นกัน นี่เป็นเหตุผลที่ผมคิดว่าสิ่งที่สำคัญที่สุด ก็คือการสนุกไปกับการทำสิ่งที่คุณรัก” เช่นเดียวกับ แทยง ที่บอกว่า “คุณสามารถที่จะผูกมิตร และแบ่งปันแพสชั่นซึ่งกันและกันระหว่างที่ทำในสิ่งที่รักได้ เช่น การเต้นได้ ผมคิดว่ามันเป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมมากครับ กับการได้ค้นหาสิ่งที่คุณชอบและทำมันไปอย่างต่อเนื่อง”

ส่วน ลูคัส มองเห็นถึงโอกาสของวงในการฝึกซ้อมด้วยกัน เพื่อให้การเคลื่อนไหวของพวกเขานั้นสมบูรณ์แบบ และเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการผสมผสานความแข็งแรงของร่างกายและชีวิตในสังคม ในขณะที่มันก็เป็นความจริงที่ว่า การเป็นศิลปินเคป็อปนั้น เรียกร้องให้พวกเขาต้องเสียสละเวลาส่วนตัว เพื่อมาทำงานมากเป็นพิเศษ แต่ ลูคัส ก็ยังรู้สึกขอบคุณที่การได้เรียนรู้การเต้นร่วมกับสมาชิกนั้น หมายถึงการมีช่วงเวลาที่ดีกับเพื่อน ๆ ด้วย

ด้าน มาร์ค เผยว่า “พวกเราทุกคนนั้นล้วนมีจุดแข็ง และมีวิธีที่จะมีอิทธิพลต่อกลุ่มสังคมของเราครับ ซึ่งการเต้นได้นำพวกเรามารวมกัน และทำให้พวกเรานั้นทำงานด้วยกันในฐานะวง ซึ่งนั่นน่าเป็นแนวทางเข้าถึงที่ทรงอิทธิพลมากในการช่วยสร้างสังคมขึ้นมาครับ”

ทั้งหมดนี้คือการได้แบ่งปันคามรักในการเต้น และการได้เห็นว่ามันได้นำพวกเขามาอยู่ร่วมกันได้อย่างไร ทั้งที่มีภูมิหลังที่แตกต่างกัน และมันได้ส่งเสริมความรู้สึกของทีมเวิร์คอย่างลึกซึ้งในหมู่พวกเขา แม้ว่าสมาชิก “ซูเปอร์ เอ็ม” แต่ละคน จะสามารถเป็นศิลปินเดี่ยวที่ยอดเยี่ยมได้ด้วยตัวเอง แต่ยังคงมีบางสิ่งของการอยู่ในวง ที่การแสดงเดี่ยวไม่สามารถมอบให้ได้  เตนล์ เผยว่า “แต่ละคนนั้นมีความแตกต่างกัน แต่ผมรู้สึกว่าทั้งการแสดงเดี่ยวและวงนั้นต่างก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียเช่นกันครับ อย่างตอนที่ผมแสดงโชว์ของตัวเอง ผมสามารถเต้นในแบบที่ผมรู้สึกสบายใจที่สุด แต่ตอนที่ผมแสดงร่วมกับวง ผมรู้สึกว่าสิ่งสำคัญคือความเข้าใจและร่วมมือกันในแต่ละคน”

“ความสามัคคี” คือคำที่ ไค เลือกใช้ คุณจะไม่รู้สึกหรือได้เรียนรู้มัน เมื่ออยู่บนเวทีด้วยตัวคุณคนเดียว แต่เมื่อคุณอยู่ในวง คุณได้เรียนรู้ในเรื่องการเคลื่อนไหวไปด้วยกันกับคนอื่น ในการปรับปรุงแก้ไข แบ่งปันพื้นที่ทั้งทางร่างกายและอารมณ์ของแต่ละการแสดง แทยง เสริมว่า “ผมสามารถค้นพบความแข็งแกร่งได้มากขึ้นในการทำงานร่วมกันเป็นทีม เนื่องจากเราได้พึ่งพากันบนเวที มันมีช่วงเวลาที่ล้ำค่าที่เราแบ่งปันภายในวงเท่านั้น และผมคิดว่านั่นเป็นวิธีที่ทำให้เราผูกพันกันแน่นแฟ้นมากขึ้นครับ” ลูคัส บอกต่อว่า “ตอนที่เราทำงานด้วยกันในฐานะวง มันยอดเยี่ยมมากที่เราสามารถแบ่งปันความกดดันกันท่ามกลางพวกเราได้”

จริง ๆ แล้วไม่เพียงแค่เรื่องของความกดดันเท่านั้น แต่ยังแชร์วิธีปฏิบัติที่เป็นเลิศด้วย หากคุณไม่ได้เก่งในบางเรื่อง แต่เพื่อนร่วมวง อยู่ตรงนั้นพร้อมที่จะช่วยเหลือให้คุณเติบโต และจัดการจุดอ่อนของคุณ รวมทั้งเมื่อคุณทำบางอย่างได้อย่างยอดเยี่ยม มันก็เป็นสิ่งที่ดีในการที่จะมีน้ำใจและหยิบยื่นสิ่งที่คุณรู้ ให้กับคนที่ต้องการความช่วยเหลือ “ให้ไปและรับเอามา” เป็นการขีดเส้นใต้ ตอกย้ำการแสดงเต้นที่ยอดเยี่ยม

ตามจริงแล้ว การเต้นไม่เพียงแต่ทำให้หนุ่ม ๆ รูปร่างดีเท่านั้น มันสอนให้พวกเขารู้วิธีแก้ไขความคิดเห็นที่ไม่ตรงกันได้ดีมากยิ่งขึ้น กลายเป็นคนที่เต็มไปด้วยการเคารพให้เกียติกันมากขึ้น รวมทั้งเปิดรับการเรียนรู้ในสิ่งที่ไม่คุ้นเคย

แทมิน เผยว่า “แทนที่พวกเราจะทำตามมุมมองส่วนตัว แต่กุญแจสำคัญก็คือ เราเคารพความคิดของกันและกันครับ และพยายามที่จะเข้าใจกัน” มาร์ค เสริม “พวกเรามาจากพื้นเพและทีมที่แตกต่างกัน แต่เราทุกคนถูกเรียกมาด้วยเหตุผลเดียวกัน แม้แต่ตอนก่อนการตั้งวง “ซูเปอร์ เอ็ม” ขึ้นมา เราทุกคนก็ให้ความเคารพกันอย่างสูงมากครับ” ไค ปิดท้ายว่า  “มันเป็นเรื่องปกติที่จะมีความแตกต่างกัน ด้านวัฒนธรรม สไตล์ และลักษณะเฉพาะในแต่ละประเทศ แต่เราสามารถอ้าแขนรับความแตกต่างนั้น และเข้าใจซึ่งกันและกันได้ เพื่อที่จะได้เอาชนะความยากลำบากที่เรากำลังเผชิญอยู่นี้ ผ่านดนตรีและการแสดงครับ”

ในช่วงเวลายากลำบากแบบนี้ “พลังบวก” นับเป็นอีกสิ่งที่ทั่วโลกต้องการ และเชื่อว่าด้วยความมุ่งมั่นของ “ซูเปอร์ เอ็ม” แฟน ๆ จะสัมผัสถึงกำลังและความเข้มแข็ง ที่ทั้ง 7 หนุ่มตั้งใจส่งผ่านดนตรีของพวกเขาได้อย่างแน่นอน

ฮาอึน / ภาพ : Prudential Singapore