จากปรากฏการณ์ “เทวดาตกสวรรค์” ภายหลังการเลือกตั้งนายกสมาคมกีฬาทางน้ำแห่งประเทศไทย (ชื่อเดิม คือ สมาคมกีฬาว่ายน้ำแห่งประเทศไทย) ซึ่ง “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ที่ดำรงตำแหน่งนายกสมาคมฯ มาแล้ว 2 สมัย รวมระยะเวลา 8 ปี พ่ายแพ้ให้กับ “แจ๊คผู้ฆ่ายักษ์” พล.ท.บุญชัย เกษตรตระการ รองจเรกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร แบบขาดลอย 22-231 เสียง นั้น
ทำให้ได้รับการจับตามองจากสังคมคนกีฬาเป็นอย่างมากว่า…..อนาคตและทิศทางทางการกีฬาของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี จะเป็นอย่างไรต่อไป

โดยเฉพาะกับตำแหน่ง ประธานคณะกรรมการโอลิมปิคแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ที่ พล.อ.ประวิตร ครองตำแหน่งนี้มา 2 สมัย รวมระยะเวลา 8 ปี โดยคณะกรรมการโอลิมปิคฯ จะหมดวาระ และมีกำหนดการเลือกตั้งกรรมการบริหารฯ และประธานฯ คนใหม่ ในเดือน มี.ค.ปีหน้า
ในระเบียบข้อบังคับของคณะกรรมการโอลิมปิคแห่งประเทศไทยฯ ระบุว่า ผู้ที่จะมีสิทธิ์ดำรงตำแหน่ง “ประธาน” ได้นั้น จะต้องมาจากการมีตำแหน่งนายกสมาคมกีฬา “แห่งประเทศไทย” สมาคมใดสมาคมก่อน
แต่ในกรณีของ “บิ๊กป้อม” ณ ตอนนี้ ยังไม่มี “หัวโขน” การเป็นนายกสมาคมกีฬา “แห่งประเทศไทย” เรียกง่ายๆ ก็คือ ท่านยังไม่มีสังกัด แล้วจะทำอย่างไรต่อ หากว่ายังต้องการเป็นประมุขโอลิมปิคไทยอีกสมัย

ทั้งนี้ ตามข้อบังคับของคณะกรรมการโอลิมปิคฯ ยังมีช่องเปิดให้ พล.อ.ประวิตร สามารถดำรงตำแหน่งประธานโอลิมปิคไทยต่อได้ แต่จะต้องได้รับการยินยอมจากสมาคมกีฬา “แห่งประเทศไทย” สมาคมกีฬาใดกีฬาหนึ่ง เพื่อมอบหมายให้ พล.อ.ประวิตร เป็นตัวแทนสมาคมนั้นๆ มาดำรงตำแหน่ง “คณะกรรมการบริหารโอลิมปิคไทย”
จากนั้น ผู้แทน 25 สมาคมกีฬา ที่ได้รับการเลือกตั้ง จะเลือก “ผู้เหมาะสม” ขึ้นไปทำหน้าที่ “ประธานโอลิมปิคไทย” ซึ่งหากมีสมาคมกีฬามอบหมายให้ “บิ๊กป้อม” มาทำหน้าที่คณะกรรมการบริหาร แล้วทั้ง 25 สมาคมกีฬา เสนอชื่อ “บิ๊กป้อม” เป็นประธานโอลิมปิคไทย ก็สามารถดำรงตำแหน่งสมัยหน้าได้ โดยไม่จำเป็นต้องมีตำแหน่งเป็น “นายกสมาคมกีฬา” แต่อย่างใด

ล่าสุด คณะกรรมการโอลิมปิคแห่งประเทศไทยฯ นำโดย “เสธ.น้อย” พล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา เลขาธิการคณะกรรมการโอลิมปิคฯ ได้เชิญคณะกรรมการบริหารโอลิมปิคฯ ร่วมประชุมด่วน เมื่อวันที่ 12 พ.ย.ที่ผ่านมา เพื่อหารือถึงสถานะของ พล.อ.ประวิตร ว่าจะดำเนินการอย่างไรต่อไป กับการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในอีก 4 เดือนข้างหน้า
อย่างไรก็ตาม การประชุมด่วนครั้งนี้ก็ต้องยกเลิกไปก่อน เนื่องจากเป็นการผิดระเบียบข้อบังคับ แต่แหล่งข่าววงในคาดกันว่า หากทำให้ถูกต้องตามระเบียบ ก็น่าจะมีการประชุมอีกครั้งในเร็วๆ นี้
การที่ พล.อ.ประวิตร ไม่ได้เป็นนายกสมาคมกีฬาทางน้ำฯ ย่อมส่งผลกระทบต่อเก้าอี้ประธานโอลิมปิคไทย ที่ตัวเองนั่งอยู่อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ซึ่งเรื่องนี้ ทีมข่าวกีฬาเดลินิวส์ ได้รายงานข่าวมาอย่างต่อเนื่องว่า ครั้งนี้ ไม่ได้มีเฉพาะ “บิ๊กป้อม” เท่านั้น มีศักดิ์ศรีและบารมีคู่ควรกับเก้าอี้ “ประมุขบ้านอัมพวัน” แต่ยังมีคีย์แมนกีฬาไทย อีกถึง 3 แคนดิเดต ที่คู่ควรและเหมาะสม มาเขย่าบัลลังก์
ท่านแรก คือ คุณหญิงปัทมา ลีสวัสดิ์ตระกูล กรรมการ คณะกรรมการโอลิมปิกสากล (ไอโอซีเมมเบอร์), รองประธานสหพันธ์แบดมินตันโลก และนายกสมาคมกีฬาแบดมินตันแห่งประเทศไทยฯ ซึ่งนับตั้งแต่ย่างก้าวเข้าสู่วงการกีฬามานั้น คุณหญิงปัทมา ได้ทุ่มเทการทำงานให้กับวงการกีฬาจนเป็นที่ประจักษ์และได้รับการยอมรับจากวงการกีฬาทั้งในประเทศและต่างประเทศเป็นอย่างมาก

มีบทบาทสำคัญที่ทำให้การกีฬาของไทย เป็นที่ยอมรับของนานาชาติ ที่สำคัญ คุณหญิงปัทมา ยังกระเป๋าหนักอีกด้วย
ท่านต่อมา คือ “บิ๊กเอ” ผศ.พิมล ศรีวิกรม์ นายกสมาคมกีฬาเทควันโดแห่งประเทศไทย และเหรัญญิก สหพันธ์เทควันโดโลก ในเรื่องของฝีมือการบริหารกีฬานั้น คงต้องยกให้เป็นเบอร์ต้นๆ เลยก็ว่าได้ เพราะตั้งแต่เข้ามาเป็นนายใหญ่เทควันโด ก็ไม่เคยทำให้ผิดหวัง ไม่เคยพลาดเหรียญโอลิมปิกเกมส์เลย โดยเฉพาะโอลิมปิกเกมส์ 2 ครั้งหลังสุด เทควันโด เป็นสมาคมเดียวที่ทำเหรียญทองให้กับประเทศไทย
ประกอบกับ “อาจารย์เอ” มีคอนเน็กชั่นทางการเมืองที่แข็งโป๊ก เรื่องนี้ก็น่าจะเป็นปัจจัยสำคัญ ที่ช่วยเพิ่มบารมีและความได้เปรียบเข้าไปอีก

ท่านสุดท้ายคือ “เสธ.หมึก” พล.อ.เดชา เหมกระศรี ประธานสหพันธ์จักรยานแห่งอาเซียน (เอซีเอฟ) และนายกสมาคมกีฬาจักรยานแห่งประเทศไทยฯ ชื่อชั้นอาจจะเป็นรองแคนดิเดตทั้ง 3 ท่าน แต่ต้องบอกว่า “เสธ.หมึก” พร้อมที่จะเป็น “ม้ามืด” เช่นกัน
และในอดีตที่ผ่านมา ตำแหน่งประธานโอลิมปิคไทย เป็นของ “ทหาร” มาทุกยุคทุกสมัย ซึ่ง “เสธ.หมึก” ก็เป็น 1 ใน 2 นายทหาร ที่มีชื่อลุ้นเก้าอี้ใหญ่รวมอยู่ด้วย แม้ว่าล่าสุด เจ้าตัว จะออกตัวว่ามีดีกรี เป็นรองทั้ง 3 ท่าน อยู่ก็ตาม

การเลือกตั้งใหญ่ คณะกรรมการโอลิมปิคแห่งประเทศไทยฯ ที่จะเกิดขึ้นในอีก 4 เดือนข้างหน้านี้ ถือเป็นวาระแห่งชาติของคนในวงการกีฬาที่แท้ทรู ทั้งนี้ทั้งนั้นไม่ว่าท่านใดจะก้าวขึ้นมาเป็นประธานโอลิมปิคไทยคนต่อไป ก็ถือว่ามีความเหมาะสมทุกคน
ส่วนจะมีเหตุการณ์พลิกล็อก มีการสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับวงการกีฬาไทย และใครจะได้นั่งเก้าอี้ “ประมุขบ้านอัมพวัน” นั้น เรื่องนี้ต้องจับตามองกันให้ดีๆ รับรองสนุกไม่แพ้ละครน้ำเน่าแน่นอน!!!