10 ข่าวต่างประเทศ ประจำปี 2567

1.ไข้หวัดนก
สถานการณ์ไข้หวัดหวัดนกในปีนี้ ก่อให้เกิดความกังวลอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน เนื่องจากในเดือน ม.ค. นักวิทยาศาสตร์ยืนยันการพบเชื้อไวรัสไข้หวัดนกสายพันธุ์ เอช5เอ็น1 ในสัตว์สายพันธุ์ต่าง ๆ ในภูมิภาคใกล้ทวีปแอนตาร์กติกา และตลอดช่วงเวลาที่ผ่านมา หลายประเทศก็รายงานการแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดนกเช่นกัน โดยกรณีที่สร้างความตกตะลึง มีทั้งการตรวจพบเชื้อไวรัสไข้หวัดนกในโคนมของสหรัฐ ผู้ป่วยที่เสียชีวิตจากการติดเชื้อไวรัสไข้หวัดนกสายพันธุ์ เอช5เอ็น2 รายแรกของโลก ในเม็กซิโก และการยืนยันพบผู้ป่วยโรคไข้หวัดนกครั้งแรกในประเทศต่าง ๆ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสัญญาณที่บ่งบอกว่า เชื้อไวรัสไข้หวัดนกมีแนวโน้มแพร่ระบาดในกลุ่มสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมมากขึ้น และทำให้ความเสี่ยงของการติดเชื้อจากสัตว์สู่คนเพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย.

2.วิบากกรรมของโบอิ้ง
บริษัท โบอิ้ง ยักษ์ใหญ่ด้านการบินของสหรัฐ เผชิญกับวิบากรรมตั้งแต่ช่วงต้นปี 2567 ไม่ว่าจะเป็นอุบัติเหตุชิ้นส่วนเครื่องบินโดยสารหลุด ไปจนถึงความขัดข้องทางเทคนิค และความเสียหายที่เกิดขึ้นกับตัวเครื่องบิน ซึ่งเหตุการณ์ส่วนใหญ่เกิดขึ้นกลางอากาศ ส่งผลให้ความเชื่อมั่นต่อบริษัทลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยต่อมาในเดือน ก.ค. โบอิ้งบรรลุข้อตกลงรับสารภาพในข้อหา “ฉ้อโกง” เกี่ยวกับเหตุการณ์เครื่องบินตก 2 ครั้ง เมื่อกว่า 5 ปีที่แล้ว อีกทั้งในเดือน ก.ย. โบอิ้งต้องเผชิญกับความตึงเครียดรอบใหม่ เนื่องจากคนงานฝ่ายผลิตของบริษัท หยุดงานประท้วงครั้งใหญ่ในรอบ 16 ปี ซึ่งแม้การเจรจายอมรับสัญญาฉบับใหม่ สามารถยุติการสไตรก์ที่ยาวนานกว่า 7 สัปดาห์ได้ แต่หลังจากนั้นไม่กี่เดือน โบอิ้งก็ประกาศแผนปลดพนักงานเกือบ 2,200 คน ด้วยเหตุผลเรื่องสถานการณ์ทางการเงิน และปัญหาหลายอย่างที่ผ่านมา

3.คดีฉ้อโกงครั้งประวัติศาสตร์ของเวียดนาม
เมื่อวันที่ 11 เม.ย. ศาลประชาชนเมืองโฮจิมินห์ของเวียดนาม มีคำพิพากษาประหารชีวิตนางเจือง มี ลัน ประธานบริษัท วัน ติ๋ญ ฟ้าด จากความผิดฐานฉ้อโกงและยักยอกเงิน จากธนาคารไซ่ง่อน คอมเมอร์เชียล แบงก์ (เอสซีบี) ตลอดระยะเวลานานกว่า 10 ปีที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นคดีฉ้อโกงครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ของเวียดนาม และได้รับการขนานนามว่าเป็น คดีฉ้อโกงธนาคารครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์โลก โดยมีผู้เสียหายราว 42,000 คน และมูลค่าความเสียหายที่เกิดขึ้นตามคำฟ้อง เมื่อปี 2565 คำนวณตามอัตราเงินเฟ้อ ณ เวลานั้น อยู่ที่ประมาณ 27,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ราว 926,000 ล้านบาท) หรือเทียบเท่า 6% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ของเวียดนาม

4.จีนเดินหน้าปราบปรามการทุจริต
นับตั้งแต่ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ผู้นำจีน ขึ้นสู่อำนาจเมื่อกว่าสิบปีที่แล้ว เขาได้กำกับดูแลการปราบปรามการทุจริตในหมู่เจ้าหน้าที่รัฐทุกระดับ โดยสำหรับปีนี้ สีกำชับให้ทุกภาคส่วนมีความพยายามเพิ่มมากขึ้น เพื่อต่อสู้กับการคอร์รัปชันอย่างจริงจัง ในภาคการเงิน หน่วยงานรัฐวิสาหกิจ พลังงาน ยาและเวชภัณฑ์ และโครงสร้างพื้นฐาน ตลอดจนกองทัพปลดปล่อยประชาชนจีน (พีแอลเอ) จนนำไปสู่การลงโทษเจ้าหน้าที่ระดับสูงหลายคน ซึ่งแม้กลุ่มผู้สนับสนุนกล่าวว่า แคมเปญข้างต้นส่งเสริมการปกครองที่สะอาดและโปร่งใส แต่บรรดานักวิจารณ์โต้แย้งว่า มันทำหน้าที่เป็นเครื่องมือให้สี กวาดล้างคู่แข่งทางการเมืองได้.

5.การเลือกตั้งสหรัฐ
เหตุการณ์สำคัญที่ทั่วโลกจับตามองมากที่สุดในปีนี้ คือ การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐ เมื่อวันที่ 5 พ.ย. ซึ่งผลการเลือกตั้งปรากฏออกมาว่า นายโดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดี และตัวแทนของพรรครีพับลิกัน สามารถคว้าชัยชนะได้สำเร็จ และเขาจะดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐสมัยที่สอง ต่อจากประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐคนปัจจุบัน จากพรรคเดโมแครต ในวันที่ 20 ม.ค. 2568 ซึ่งแน่นอนว่า การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งใหญ่ในประเทศมหาอำนาจของโลก ส่งผลให้เกิดความเคลื่อนไหวต่าง ๆ ทั้งในและต่างประเทศ ในเวลาไม่นานหลังการเลือกตั้ง แม้ทรัมป์ยังไม่ได้เข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการก็ตาม

6.ระบอบอัสซาดล่มสลาย
ซีเรียเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดขึ้นในวันที่ 27 พ.ย. เมื่อฝ่ายกบฏต่อต้านรัฐบาล ที่นำโดยกองกำลัง “ฮายัต ตาห์รีร์ อัล-ชาม” (เอชทีเอส) ดำเนินปฏิบัติการสายฟ้าแลบ โจมตีเมืองอเลปโป ที่อยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือ และเป็นเมืองใหญ่อันดับสองของประเทศ จากนั้นจึงไล่ยึดเมืองต่าง ๆ จนเคลื่อนพลเข้าสู่กรุงดามัสกัสได้สำเร็จ โดยใช้เวลาไม่ถึง 2 สัปดาห์ ส่งผลให้ประธานาธิบดีบาชาร์ อัล-อัสซาด ผู้นำซีเรีย ลี้ภัยไปยังรัสเซีย นับเป็นการปิดฉากสงครามกลางเมืองซีเรีย ที่ดำเนินมาตั้งแต่เดือน มี.ค. 2554 และถือเป็นการล่มสลายของ “ระบอบอัสซาด” ซึ่งปกครองประเทศมาเป็นเวลานานถึง 50 ปี โดยขณะนี้ ซีเรียอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านเพื่อถ่ายโอนอำนาจ ท่ามกลางการจับตาดูอย่างใกล้ชิดจากหลายฝ่าย

7.ออสเตรเลียผ่านกฎหมายห้ามเด็กอายุต่ำกว่า 16 ปี ใช้โซเชียลมีเดีย
ช่วงปลายเดือน พ.ย. รัฐสภาออสเตรเลียมีมติเห็นชอบ รับรองร่างกฎหมายห้ามบุคคลมีอายุต่ำกว่า 16 ปี ใช้งานเครือข่ายสังคมออนไลน์ทุกประเภท ซึ่งหากกฎหมายข้างต้นมีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการ ออสเตรเลียจะกลายเป็นประเทศแรกของโลก ที่มีการบังคับใช้กฎหมาย “เจาะจง” ห้ามประชาชนในบางกลุ่มอายุใช้งานสื่อสังคมออนไลน์ อย่างไรก็ตาม การดำเนินการดังกล่าวเรียกเสียงวิจารณ์อย่างหนักจากทั้งเมตา เอ็กซ์ กูเกิล และติ๊กต็อก ซึ่งระบุว่ากฎหมายนี้ยังคลุมเครือ มีปัญหา และรีบเร่งเกินไป เช่นเดียวกับกองทุนเพื่อเด็กแห่งสหประชาชาติ (ยูนิเซฟ) ประจำออสเตรเลีย ที่เสริมว่า กฎหมายแบนไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาอันตรายทางออนไลน์ที่ครอบคลุม และโลกดิจิทัลมีความจำเป็นต่อเด็กและเยาวชน เพื่อการเรียนรู้

8.ยุน ซอก-ยอล ประกาศกฎอัยการศึก-โดนถอดถอน
เกาหลีใต้เกิดความวุ่นวายครั้งใหญ่ หลังประธานาธิบดียุน ซอก-ยอล ผู้นำเกาหลีใต้ ใช้อำนาจประกาศกฎอัยการศึก ระหว่างช่วงกลางดึกของวันที่ 3 ธ.ค. ถึงช่วงรุ่งสางของวันที่ 4 ธ.ค. โดยให้เหตุผลว่า “เพื่อกำจัดกองกำลังสนับสนุนเกาหลีเหนือ และเพื่อปกป้องระเบียบตามรัฐธรรมนูญเพื่อเสรีภาพ” ซึ่งแม้กฎอัยการศึกมีผลแค่ 6 ชั่วโมง แต่เหตุการณ์ข้างต้นทำให้เกิดกระแสโต้กลับอย่างรุนแรง จนนำไปสู่การสอบสวนยุน ในข้อหาก่อการกบฏ โดยต่อมาในวันที่ 14 ธ.ค. สภานิติบัญญัติแห่งชาติของเกาหลีใต้ มีมติสนับสนุนการถอดถอนผู้นำเกาหลีใต้ ซึ่งหลังจากนี้ ศาลรัฐธรรมนูญเกาหลีใต้ต้องพิจารณาว่าจะรับรองญัตติดังกล่าว และทำให้ยุนพ้นจากตำแหน่งอย่างเป็นทางการหรือไม่

9.สถานการณ์สงครามในยูเครน-ตะวันออกกลาง
สองสงครามใหญ่ในยูเครน และตะวันออกกลาง ยังยืดเยื้อและทวีความรุนแรงขึ้น โดยสำหรับสงครามรัสเซีย-ยูเครน ซึ่งจะดำเนินครบ 3 ปี ในวันที่ 24 ก.พ. 2568 รัฐบาลเคียฟ และรัฐบาลมอสโก ต่างโจมตีใส่อีกฝ่ายอย่างไม่ละลด โดยยูเครนยังคงได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐ และพันธมิตรชาติตะวันตก ส่วนรัสเซียได้รับความช่วยเหลือทางทหารเพิ่มเติมจากเกาหลีเหนือ ขณะที่สงครามในตะวันออกกลาง ระหว่างอิสราเอลกับกลุ่มฮามาส ในฉนวนกาซา ก็เข้าสู่ปีที่สองแล้ว ซึ่งในปีนี้ กองทัพอิสราเอลสามารถสังหารสมาชิกระดับแกนนำของกลุ่มฮามาสได้หลายคน รวมถึงนายยาห์ยา ซินวาร์ ผู้นำสูงสุดฝ่ายการเมืองของกลุ่มฮามาส และรัฐบาลเทลอาวีฟ เน้นย้ำหลายครั้งว่า ปฏิบัติการทางทหารจะดำเนินต่อไป จนกว่ากลุ่มฮามาสจะถูกทำลายจนสิ้นซาก

10.อากาศร้อนทำลายสถิติ
สำนักงานบริการเฝ้าติดตามการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศของสหภาพยุโรป (อียู) “โคเปอร์นิคัส ไคลเมต เชนจ์ เซอร์วิส” หรือ “ซี3เอส” รวมถึงหน่วยงาน นักวิทยาศาสตร์ และผู้สันทัดกรณีด้านสภาพอากาศ คาดการณ์และมีความเห็นไปในทิศทางเดียวกันว่า ปี 2567 มีแนวโน้มปีที่ร้อนที่สุด เท่าที่เคยมีการบันทึกไว้ เนื่องจากหลายพื้นที่ทั่วโลกมีอุณหภูมิสูงเป็นประวัติการณ์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงฤดูร้อน และเผชิญกับสภาพอากาศแปรปรวนที่เลวร้ายและรุนแรงยิ่งขึ้น แม้มีสัญญาณการเปลี่ยนผ่านของปรากฏการณ์เอลนีโญ แต่ถึงอย่างนั้น สำนักอุตุนิยมวิทยาหลายแห่ง ตลอดจนองค์การอุตุนิยมวิทยาโลก (ดับเบิลยูเอ็มโอ) คาดว่าปรากฏการณ์ลานีญา อาจอ่อนแรง คงอยู่ไม่นาน และไม่เพียงพอที่จะบรรเทาภาวะโลกร้อนได้…