กระทรวงการต่างประเทศปานามายื่นหนังสือถึงนายอันโตนิโอ กูเตร์เรส เลขาธิการสหประชาชาติ ( ยูเอ็น ) โดยอ้างถึงเนื้อหาในกฎบัตรของยูเอ็น ว่าสหประชาชาติ “ต้องขัดขวาง” สมาชิกประเทศใดก็ตาม จากการ “ข่มขู่ที่จะใช้มาตรการทางทหาร” เพื่อคุกคามอธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดน หรือเอกราชทางการเมืองของประเทศอื่น
ทั้งนี้ รัฐบาลปานามาเรียกร้องให้กูเตร์เรสยื่นคำร้องต่อคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ ( ยูเอ็นเอสซี ) แต่ไม่ได้ระบุอย่างเจาะจง ว่ายูเอ็นเอสซีควรมีการประชุมฉุกเฉินเกี่ยวกับสถานการณ์ในคลองปานามา

ความเคลื่อนไหวดังกล่าวของทางการปานามาเกิดขึ้น หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐ ยังคงกล่าวว่า จีนกำลังเข้ามาบริหารคลองปานามา “โดยพฤตินัย” จากการที่มีบริษัทจัดการท่าเรือหลายแห่งอยู่บนเส้นทาง พร้อมทั้งกล่าวว่า สหรัฐมอบคลองปานามาให้เป็นกรรมสิทธิ์ของปานามา เมื่อปี 2542 “ไม่ได้มอบให้จีน” จึงถึงเวลาที่ต้อง “เอาคืนแล้ว”
ด้านประธานาธิบดีโฮเซ มานูเอล มูลิโน ผู้นำปานามา กล่าวว่า คลองปานามา “ไม่ใช่ของขวัญ” จากสหรัฐ คลองแห่งนี้เป็นของปานามา อยู่ภายใต้การบริหารปานามาเพียงผู้เดียว และจะเป็นของปานามาตลอดไป อีกทั้งเน้นย้ำว่า จะไม่มีการเจรจากับสหรัฐเกี่ยวกับอธิปไตยของคลองปานามา “อย่างเด็ดขาด”

ขณะที่นางเหมา หนิง โฆษกกระทรวงการต่างประเทศจีน ให้ความเห็นในฐานะเป็นประเทศที่ถูกพาดพิง ว่ารัฐบาลปักกิ่งมีความเคารพต่ออธิปไตยและบูรณภาพแห่งดินแดนของปานามา รวมถึงคลองปานามา ที่เป็นเส้นทางเดินเรือระหว่างประเทศ “ซึ่งมีความเป็นกลาง”
ตอนนี้ 40% ของเรือบรรทุกสินค้าสหรัฐ ต้องเดินทางผ่านคลองปานามา ซึ่งทรัมป์แสดงความไม่พอใจมานานระยะหนึ่งแล้ว ว่าต้องจ่ายค่าธรรมเนียมผ่านทาง “ที่ไม่เป็นธรรม” แต่รัฐบาลปานามาปฏิเสธ และยืนกรานว่า ปฏิบัติแบบเดียวกันกับทุกประเทศ
อนึ่ง สหรัฐเป็นผู้มีบทบาทสำคัญ ในการก่อสร้างคลองปานามา ที่เปิดใช้งานเมื่อปี 2457 ปัจจุบัน คลองปานามาอยู่ภายใต้การบริหารของ องค์การคลองปานามา และรายได้แทบทั้งหมดจากการเก็บค่าผ่านทาง เข้าสู่คลังของแผ่นดิน ซึ่งสถิติการเก็บค่าธรรมเนียมในปีงบประมาณล่าสุด อยู่ที่เกือบ 2,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ( ราว 84,500 ล้านบาท ) ส่วนประเทศที่จำนวนมีเรือผ่านคลองปานามามากที่สุดคือสหรัฐ ด้วยสถิติ 74% รองลงมาคือจีน 21%.
อย่างไรก็ดี ทรัมป์ยังคง “ไม่ปฏิเสธความเป็นไปได้” ของการใช้มาตรการกดดันทางทหาร หรือการกดดันทางเศรษฐกิจ เพื่อให้ได้ครอบครองคลองปานามา โดยให้เหตุผลว่า สหรัฐต้องมี “ความปลอดภัยทางเศรษฐกิจ” แต่ยังไม่ได้ลงลึกในรายละเอียดมากไปกว่านั้น

ย้อนกลับไปที่รัฐบาลวอชิงตันยุคคาร์เตอร์ ผู้นำสหรัฐในเวลานั้นมองว่า การมอบกรรมสิทธิ์ของคลองปามานากลับคืนให้แก่ปานามา “เป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว” เนื่องจากคลองแห่งนี้ถือเป็น “มรดกทางประวัติศาสตร์” จาก “นโยบายกึ่งอาณานิคม” ของรัฐบาลวอชิงตัน ที่มีต่อประเทศในอเมริกากลาง
หลังคาร์เตอร์หมดวาระ ประธานาธิบดีสหรัฐทุกคนนับจากนั้น ล้วนยึดมั่นปฏิบัติตามข้อตกลงเกี่ยวกับคลองปานามา ไม่ว่าจะมาจากพรรครีพับลิกันหรือพรรคเดโมแครต คือ ประธานาธิบดีโรนัลด์ เรแกน ประธานาธิบดีจอร์จ เอช.ดับเบิลยู. บุช และประธานาธิบดีบิล คลินตัน จนกระทั่งรัฐบาลวอชิงตันมอบคลองแห่งนี้ ให้เป็นกรรมสิทธิ์แก่ปานามาอย่างสมบูรณ์ เมื่อวันที่ 31 ธ.ค. 2542 ตามข้อตกลงส่งมอบคลองปานามา ซึ่งลงนามโดยคาร์เตอร์ เมื่อปี 2522
หากทรัมป์ต้องการให้กองทัพสหรัฐปฏิบัติการทางทหาร “เพื่อยึดคืนคลองปานามา” จริง แน่นอนจะเป็นเรื่องใหญ่ คลองปานามามีความยาว 82 กิโลเมตร เชื่อมระหว่างทะเลแคริบเบียนกับมหาสมุทรแปซิฟิก ขณะที่ปานามามีพื้นที่ประมาณ 75,000 ตารางกิโลเมตร และมีประชากรราว 4.5 ล้านคน โดยส่วนใหญ่ไม่น่าจะมีความยินดี หากสหรัฐเข้ามายึดครอง

รายงานประเมินโดยกองทัพสหรัฐ ระบุว่า ต้องใช้ทหารอย่างน้อย 20 นาย ต่อประชากร 1,000 คน เพื่อให้ปฏิบัติการ “ปราบปรามการก่อความไม่สงบ” ในสถานการณ์หนึ่ง สามารถอยู่ในความควบคุม”ได้อย่างมีประสิทธิภาพ” ซึ่งเมื่ออ้างอิงตามประชากรของปานามา เท่ากับว่า กองทัพสหรัฐต้องใช้กำลังพลมากถึง 90,000 นาย เพื่อปฏิบัติการยึดคลองปานามา
หากเกิดขึ้นจริง หมายความว่า สหรัฐคือฝ่ายเปิดฉากปฏิบัติการทางทหารครั้งนี้ ด้วยการรุกรานอธิปไตยของประเทศอื่น ย้อนแย้งกับที่นายมาร์โก รูบิโอ รมว.การต่างประเทศสหรัฐ กล่าวว่า เป้าหมายด้านนโยบายต่างประเทศของรัฐบาลวอชิงตันในยุคทรัมป์ คือ “การส่งเสริมสันติภาพและหลีกเลี่ยงความขัดแย้ง” แต่ต้องไม่แลกกับ “ความมั่นคง ผลประโยชน์ และค่านิยม” ของอเมริกา
ยิ่งไปกว่านั้น ทรัมป์จะใช้อำนาจและเหตุผลใด ในการส่งทหารไปปฏิบัติการที่คลองปานามา ซึ่งทั้งตามกฎหมายและในทางทฤษฎีต้องให้สภาคองเกรสอนุมัติ
ขณะเดียวกัน ปฏิบัติการทางทหารที่คลองปานามา จะก่อให้เกิดความปั่นป่วนทางการค้าไปทั่วโลก จากการที่ 6% ของสินค้าที่มีการขนส่งทางทะเล ต้องเดินทางผ่านคลองปานามา ในเวลาเดียวกับที่สถานการณ์ในทะเลแดงยังคงตึงเครียด แม้อิสราเอลกับกลุ่มฮามาสอยู่ระหว่างพักรบครั้งใหม่ เป็นเวลานาน 42 วัน ตั้งแต่วันที่ 19 ม.ค. ที่ผ่านมา แต่กองกำลังฮูตียังคงปฏิบัติการต่อต้านอิสราเอล ด้วยการโจมตีเรือบรรทุกสินค้าในทะเลแดง ซึ่งการขนส่งสินค้าผ่านเส้นทางนี้คิดเป็น 12% ของโลก สูงกว่าคลองปานามา
เป็นที่ทราบกันดีและประจักษ์กันไปทั่วโลกแล้วว่า ทรัมป์เป็นคนที่ทำอะไรแบบคิดนอกกรอบ อย่างไรก็ตาม การออกมาข่มขู่ปานามาในลักษณะนี้ ไม่ว่าจะต้องการใช้กำลังทางทหาร หรือมาตรการทางการทูต มีแต่จะยิ่งเพิ่มความเสี่ยงในมิติทางภูมิรัฐศาสตร์มากยิ่งขึ้นเท่านั้น.
ภัทราพร ไพบูลย์ศิลป
เครดิตภาพ : AFP