ในช่วงที่คนเมืองกรุงต้องเผชิญกับปัญหา “ฝุ่นละอองที่มีค่าระดับ PM 2.5” ปกคลุมไปทั่วเมืองจนเริ่มเป็นอันตรายต่อสุขภาพกันอย่างต่อเนื่องนั้น แน่นอนว่าเมื่ออากาศที่มีอยู่โดยทั่วไปมักจะมีฝุ่นละอองและสิ่งสกปรกปะปนอยู่ ดังนั้นรถยนต์จึงจำเป็นต้องมี “กรองอากาศ” มาดักฝุ่นละอองและสิ่งสกปรกไม่ให้เข้าไปในเครื่องยนต์
แต่หากปล่อยสิ่งสกปรกเข้าไปในห้องเผาไหม้ ส่วนหนึ่งจะเป็นเม็ดทรายละเอียดที่มีความแข็ง ไปเกาะอยู่ตามร่องแหวนและผนังกระบอกสูบ เปรียบเสมือนกระดาษทราย ที่จะคอยขัดถูทำให้แหวน-กระบอกสูบสึกหรอเร็วขึ้น จากที่ควรจะเป็นเครื่องยนต์ที่มีอายุการใช้งาน 3-4 แสนกิโลเมตร อาจจะลดลงมาเหลือแค่ 1 แสนกิโลเมตร ก็เป็นได้ ฉะนั้นจึงควรเปลี่ยนใหม่ทุก 1 หมื่นกิโลเมตร และใช้กรองแอร์ที่ได้มาตรฐานครับ
วิธีสังเกตกรองอากาศตัน
สามารถสังเกตอาการของรถยนต์ได้ ดังนี้ เครื่องยนต์สั่น-กำลังตก -สิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงมากกว่าปกติ-ไอเสียมีสีดำ
เทคนิกทำความสะอาด “กรองอากาศ” ด้วยตัวเอง
ใช้การเป่าเอาสิ่งสกปรกออกจาก กรองอากาศ โดยให้เป่าลมจากด้านตรงกันข้ามกับที่ฝุ่นเกาะอยู่ จนหมด ถ้าเป็นกรองสแตนเลส สามารถล้างด้วยน้ำยาล้างจานหรือผงซักฟอก ก่อนใช้ลมเป่าหรือตากให้แห้ง ถ้าเป็นกรองเปียกให้ทำล้างด้วยน้ำมันเบนซิน แล้วบีบให้แห้ง (ห้ามบิดเนื่องจากอาจทำให้ฉีกขาดเสียหายได้) แล้วชโลมด้วยน้ำมันเครื่องใหม่
เทคนิกตรวจสอบ “กรองอากาศ” หลังทำความสะอาด
ใช้ โคมไฟ หรือ ไฟฉาย ส่องกรองอากาศจากด้านตรงข้ามกับที่ฝุ่นเกาะอยู่ ถ้ามองเห็นแสงไฟและไม่มีรอยฉีกขาด ยังถือว่าใช้งานได้ แต่ถ้ามองไม่เห็นแสงไฟ แสดงว่าฝุ่นเข้าไปสะสมจนเต็ม แม้จะมีการเป่าลมก็ไม่สามารถช่วยได้ จำเป็นต้องเปลี่ยนใหม่..
………………………..
คอลัมน์ : รู้ก่อนเหยียบ
โดย “ช่างเอก”
ติดต่อสอบถามข้อมูลโดยตรงที่ [email protected]
คลิกอ่านบทความทั้งหมดได้ที่นี่