ใครจะคาดคิด… “ความเครียด” เงียบ ๆ กลับกลายเป็นตัวร้าย ก่อวงจรอันตราย กระตุ้นโรคเบาหวาน ที่ วัยรุ่น และ วัยทำงาน ต้องตระหนักและระมัดระวังอย่างยิ่ง!
ในยุคที่ชีวิตเต็มไปด้วยความเร่งรีบและแรงกดดัน “ความเครียด” ได้กลายเป็นเพื่อนที่ไม่ได้รับเชิญของคนไทย โดยเฉพาะกลุ่ม วัยรุ่น และ คนทำงาน จำนวนมาก เมื่อเผชิญกับความเครียด พวกเขามักเลือกที่จะปลอบประโลมจิตใจด้วย ของหวาน ไม่ว่าจะเป็นชานมไข่มุก ช็อกโกแลต หรือโดนัท ด้วยรสชาติที่แสนอร่อยและให้ความรู้สึกดีในชั่วขณะ แต่ทว่า การ กินของหวานคลายเครียด เป็นประจำนั้น อาจเป็นพฤติกรรมที่นำไปสู่ “โรคเบาหวาน” โดยไม่รู้ตัว
วันนี้ นพ. ชาญวัฒน์ ชวนตันติกมล อายุรแพทย์ผู้ชำนาญการโรคเบาหวานและต่อมไร้ท่อ ศูนย์เบาหวาน ต่อมไร้ท่อ และควบคุมน้ำหนัก รพ.วิมุต จะมาเจาะลึกถึงลักษณะของ โรคเบาหวาน ความเชื่อมโยงอันน่าตกใจระหว่าง ความเครียด และ โรคเบาหวาน พร้อมทั้งแนะนำ วิธีจัดการความเครียด อย่างเหมาะสม เพื่อป้องกันความเสี่ยงของโรคเบาหวานในระยะยาว ที่แฟน ๆ Healthy Clean ไม่ควรพลาด!
สถิติชวนตกใจ! คนไทยป่วยเบาหวานพุ่งสูง
“ข้อมูลจากกรมควบคุมโรคในปี 2565 เผยว่า มีผู้ป่วยเบาหวานสะสมในประเทศไทยสูงถึง 3.3 ล้านคน และในปี 2566 มีผู้ป่วยรายใหม่เพิ่มขึ้นอีก 3 แสนคน ซึ่งเป็นตัวเลขที่น่ากังวลอย่างยิ่ง” นพ. ชาญวัฒน์ กล่าว
อย่ามองข้าม! สัญญาณเตือน “โรคเบาหวาน”
โรคเบาหวาน คือภาวะที่ร่างกายมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติ โดยมีเกณฑ์วินิจฉัยคือ ระดับน้ำตาลในเลือดตั้งแต่ 126 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตรขึ้นไป หรือมีค่าน้ำตาลสะสมตั้งแต่ 6.5% จากการตรวจเลือดอย่างน้อย 2 ครั้ง ซึ่งอาจแสดงอาการเตือนดังนี้:
- กระหายน้ำบ่อย
- ปัสสาวะบ่อย
- น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ
- ตาพร่ามัว มองเห็นไม่ชัด
- มีแผลที่เท้าเรื้อรัง หายยาก
- มีอาการชาที่ปลายมือหรือปลายเท้า
- อ่อนเพลีย เหนื่อยล้า
- ผิวแห้งและคัน
นพ. ชาญวัฒน์ อธิบายถึงประเภทของโรคเบาหวานเพื่อให้เข้าใจง่ายขึ้นว่า “เบื้องต้นสามารถแบ่งโรคเบาหวานได้เป็น 4 ประเภทหลัก ๆ คือ:
- เบาหวานชนิดที่ 1: เกิดจากระบบภูมิคุ้มกันทำลายเซลล์ตับอ่อนที่ผลิตอินซูลิน ทำให้ร่างกายไม่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลได้
- เบาหวานชนิดที่ 2: พบมากในผู้ที่มีน้ำหนักเกินและมีไขมันในช่องท้องสูง ทำให้เกิดภาวะดื้อต่ออินซูลิน
- เบาหวานขณะตั้งครรภ์: เกิดจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนระหว่างตั้งครรภ์ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพของทารกในครรภ์ได้
- เบาหวานที่มีสาเหตุเฉพาะอื่น ๆ: เช่น เกี่ยวข้องกับพันธุกรรม หรือผลจากการใช้ยาบางชนิด
นอกจากนี้ ผู้ที่มีประวัติครอบครัวเป็นเบาหวาน หรือผู้สูงอายุ จะมีความเสี่ยงในการเกิดโรคเบาหวานสูงขึ้นเช่นกัน ที่น่าเป็นห่วงคือ ปัจจุบัน คนอายุน้อย ก็พบว่าเป็นโรคเบาหวานมากขึ้น สาเหตุหลักมาจากการ นิยมกินของหวานเพื่อคลายเครียด และ ขาดการออกกำลังกาย ซึ่งกลายเป็นพฤติกรรมเสี่ยงที่เพิ่มโอกาสในการเป็นโรคเบาหวาน”
ความเครียด = ของหวาน = เบาหวาน + ซึมเศร้า! วงจรอันตรายที่ต้องตัด
“โรคเบาหวาน และ ความเครียด มีความเชื่อมโยงกันอย่างใกล้ชิด” นพ. ชาญวัฒน์ กล่าว “เมื่อคนเราเผชิญกับความเครียด มักจะหันไปหา ของหวาน เพื่อบรรเทาความรู้สึก โดยไม่ทันตระหนักว่าเป็นการเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคเบาหวาน และเมื่อป่วยเป็นเบาหวานแล้ว ภาระในการดูแลตัวเอง ทั้งการควบคุมอาหาร การออกกำลังกาย และการกินยาอย่างสม่ำเสมอ อาจก่อให้เกิด ความเครียดสะสม ส่งผลให้ผู้ป่วยเบาหวานมีโอกาสเป็น โรคซึมเศร้า มากกว่าคนทั่วไปถึง 2 เท่า และกว่า 30% ของผู้ป่วยมักประสบปัญหาสุขภาพจิต ซึ่งอาจนำไปสู่การละเลยการดูแลตนเอง เช่น ไม่ควบคุมอาหาร ไม่ยอมออกกำลังกาย หรือลืมกินยา ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นและเบาหวานกำเริบ จนอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนร้ายแรง เช่น โรคหัวใจ โรคไต หรือโรคหลอดเลือดสมอง กลายเป็นวงจรอันตรายที่ส่งผลเสียต่อทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิตใจ”
จัดการความเครียดอย่างฉลาด ป้องกัน “เบาหวาน” ได้
“การ กินของหวาน ไม่ใช่วิธีคลายเครียดที่ดีที่สุด” นพ. ชาญวัฒน์ แนะนำ “ยังมีวิธีอื่น ๆ อีกมากมายที่ช่วยลดความเครียดและดีต่อสุขภาพในระยะยาว เช่น การออกกำลังกาย การ ดูหนัง ฟังเพลง หรือ เล่นเกม ซึ่งเป็นกิจกรรมที่ช่วยให้อารมณ์ดีขึ้นและลดความเสี่ยงในการเป็นโรคเบาหวานได้”
“แต่ถ้ายังต้องการกินของหวาน ควร จำกัดปริมาณน้ำตาล ไม่ให้เกิน 6 ช้อนชา หรือ 24 กรัมต่อวัน และที่สำคัญ ควร เข้ารับการตรวจสุขภาพเป็นประจำทุกปี แม้จะยังอายุน้อยหรือไม่มีอาการใด ๆ โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้ที่กินของหวานเป็นประจำ มีประวัติเบาหวานขณะตั้งครรภ์ มีคนในครอบครัวเป็นเบาหวาน มีน้ำหนักเกิน หรือมีโรคหัวใจและหลอดเลือด เพราะหากตรวจพบโรคได้เร็ว ก็จะสามารถรักษาและควบคุมได้ทันท่วงที”
นพ. ชาญวัฒน์ กล่าวทิ้งท้ายว่า “ในยุคปัจจุบัน ความเครียด เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงได้ยาก โดยเฉพาะในกลุ่ม วัยเรียน และ คนทำงาน แม้การกินของหวานจะเป็นทางออกที่ง่ายและรวดเร็ว แต่หากปล่อยให้กลายเป็นนิสัย ก็อาจนำไปสู่ โรคเบาหวาน ได้ จึงอยากให้ทุกคนลองหันมา ผ่อนคลายความเครียด ด้วยวิธีอื่น ๆ ที่ดีต่อสุขภาพมากกว่า เช่น เล่นกีฬา ไปเที่ยว หรือทำกิจกรรมที่ชื่นชอบ ส่วนของหวานก็ยังสามารถกินได้ แต่ควรลดปริมาณและกินแต่พอดี ที่สำคัญที่สุดคือ อย่าละเลยการตรวจสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้เราสามารถดูแลสุขภาพและป้องกันความเสี่ยงจากโรคเบาหวานในอนาคตได้อย่างมั่นใจ”
……………………………………………
คอลัมน์ : Healthy Clean
โดย “พรรณรวี พิศาภาคย์”
อ่านบทความทั้งหมดที่นี่…คลิก…