ท่ามกลางบริบททางการเมืองที่เต็มไปด้วยความร้อนแรง โดยเฉพาะสถานการณ์ความอึมครึมภายในพรรคพลังประชารัฐ ที่กำลังถูกจับตามองเป็นพิเศษ วันนี้ “ทีมการเมืองเดลินิวส์” ได้มีโอกาสสนทนากับ “อ.แหม่ม” ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ เหรัญญิกพรรคพลังประชารัฐ หนึ่งในคีย์แมนการเมืองคนสำคัญ เพื่อหาคำตอบของทุกคำถามที่สังคมอยากรู้

โดย อ.แหม่ม เปิดฉากกล่าวว่า สถานการณ์ปัจจุบันพรรคพลังประชารัฐไม่มีความขัดแย้ง โดยเรื่องนี้เป็นการสะท้อนความเห็นของคนทั้งพรรค จากการประชุม ส.ส. เมื่อปลายเดือน ต.ค.ที่ผ่านมา ซึ่ง ส.ส.พูดตรงกันหลายคนว่า พวกเราไม่ได้มีปัญหาอะไรกันเลย ไม่มีความขัดแย้งระหว่าง ส.ส. แต่มี ส.ส.พูดว่ามีแค่ผู้ใหญ่ไม่กี่คนเท่านั้นเอง ซึ่งขอให้คุยกันให้รู้เรื่อง พรรคเราจะได้เดินหน้า ก็เป็นการบอกกับหัวหน้าพรรคตรงๆ ซึ่งจริงๆ ไม่ได้มีอะไรเลย 

พรรคพลังประชารัฐ มี ส.ส.หน้าใหม่ 70 เปอร์เซ็นต์ และเป็นหน้าใหม่ที่ดูดี ศักยภาพสูง ประวัติดีทั้งนั้น แต่พอเข้ามาอยู่ในพรรคแล้วเหมือนถูกอะไรไม่รู้กดทับ ให้คนที่มีศักยภาพไม่มีโอกาสได้ทำงานในสิ่งที่เขามีความสามารถ ไม่ได้วางคนให้ถูกกับงาน เพราะฉะนั้นคนรุ่นใหม่ของพรรคยังไม่ได้แสดงบทบาท ความสามารถของเขาอย่างเต็มที่ ถ้าเราเปิดโอกาสมากขึ้น ภาพของความขัดแย้งก็จะลดลง ก็จะเห็นภาพของการทำงาน

@ การที่คนเก่งหลายคนเข้ามาร่วมพรรค อาทิ นายพีระพันธ์ สาลีรัฐวิภาค และยังมีข่าว พล.ต.อ.จักรทิพย์ ชัยจินดา นายฉัตรชัย พรหมเลิศ จะมาสมัครเป็นสมาชิกพรรค ถือเป็นการบีบให้ขั้วของเลขาธิการพรรค มีพื้นที่ภายในพรรคน้อยลงหรือไม่

คงไม่ใช่ เพราะว่าตั้งแต่ปี 2561 ที่เริ่มก่อตั้งพรรค เรามีกลุ่มคนที่หลากหลายกว่านี้มากมารวมกัน ทั้งนี้พรรคการเมืองเป็นเรื่องปกติที่จะมีคนที่สนใจการเมือง และมีความสามารถเข้ามาร่วมงาน ซึ่งเราเคยอยู่กันเยอะกว่านี้ ตรงนี้จึงไม่มีอะไรแปลก หากเขาเห็นว่าพรรคเรามั่นคงและจะเดินไปข้างหน้าได้ ก็ย่อมเป็นจุดดึงดูดคนเข้ามา และก็ไม่ใช่แค่นี้ มีอีกหลายคนที่ไม่เป็นข่าวและเรากำลังเตรียมจะเปิดตัว ทั้งที่มาจากพรรคประชาธิปัตย์ พรรคเพื่อไทย รวมทั้งมาจากนักธุรกิจ ที่ตัดสินใจจะมาอยู่กับเราก็มี ดังนั้นจึงมีอีกหลากหลายมากที่จะเข้ามาร่วมงานกับพรรคเรา ไม่ใช่ว่าใครมาเบียดใคร พรรคการเมืองไม่มีใครเป็นเจ้าของอย่างแท้จริง เป็นของคนหมู่มากที่มีอุดมการณ์เดียวกัน มาร่วมงานกัน

@หลังจากเกิดเหตุการณ์ที่ต้องออกจากตำแหน่งรัฐมนตรี จะก้าวข้ามอย่างไร จะพัฒนาพรรคต่อไปอย่างไร

ตั้งแต่วันที่เกิดเรื่อง และหลังจากนั้น ตนตัดสินใจที่จะไม่พูดเลย เพราะเราเป็นผู้ใต้บังคับบัญชา เราเป็นผู้น้อย พูดอะไรจะไปกระทบกับผู้ใหญ่ที่เรารักและเคารพ เราพูดไม่ออก ขอเก็บเอาไว้ข้างในของเราเอง และใครจะคิดอย่างไรสักวันหนึ่งเวลาจะเปิดให้เห็นว่าข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร ทั้งนี้ไม่เคยโกรธ แม้จะโดนโจมตีจากคนในพรรคทุกๆ ครั้ง ก็ไม่เคยตอบโต้ ไม่เคยออกมาสวนกลับ เพราะรู้สึกว่าไม่มีประโยชน์

“แหม่มไม่เคยคิดร้ายกับใคร ไม่เคยให้ร้ายใครก่อน แม้ใครจะด่าจะอะไร ก็ไม่เคยโต้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เขาว่าในสิ่งที่ไม่จริง คือเราเชื่อว่าตัวตนของเราคืออะไร แล้วเราเข้ามาทำงานการเมืองเพื่ออะไร สามีก็บอกว่าต้องอดทน”

@มีคนมองว่าเป็นคนที่ใกล้ชิด พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ มากถึงขั้นเป็นคนจัดคิว ส.ส.ที่จะเข้าพบ

ไม่เคยจัดคิวอะไร ลูกน้องของ พล.อ.ประวิตร ทุกคนสามารถที่จะไปพบและโทรฯ หาท่านได้ เพราะท่านให้เบอร์ตรง ส.ส.ทุกคน ใครขอเข้าพบได้หมด ท่านไม่เคยปฏิเสธลูกน้องเลย ทั้งนี้มีทั้ง ส.ส.ที่โทรฯ หาท่านเอง และติดต่อผ่านทีมงานของท่านที่เป็นคนจัดคิว มีแต่ว่าบางเรื่องที่เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับพรรค พล.อ.ประวิตร ก็จะเรียกเลขาธิการพรรค และตนเข้าไปเพราะเป็นเรื่องที่ต้องรับฟังและต้องหารือด้วยกัน

@นายกฯแสดงความไม่สบายใจเรื่องเสียงในสภา เป็นการส่งสัญญาณอะไรหรือไม่

พล.อ.ประยุทธ์ คงเป็นห่วงเป็นปกติ เนื่องจากสภาปิดไป 1 เดือน และพอเปิดสมัยประชุมมา ก็มีเหตุต้องเปลี่ยนประธานวิปรัฐบาล ซึ่งเป็นห้วงรอยต่อที่การทำงานอาจจะต้องเชื่อมต่อ ซึ่งประธานวิปก็คงจะต้องลงแรงเยอะขึ้นหน่อย เพราะจะมีกฎหมายสำคัญเข้าเยอะ จึงไม่แปลกที่ท่านจะเป็นห่วง ทั้งนี้หากย้อนดู ส.ส.ภายในพรรคพลังประชารัฐ ไม่เคยมีปัญหาเรื่องการลงมติ มีแค่ตอนนั้นที่โหวตสวน แต่เรื่องอื่นๆ ไม่เคยบิดเบี้ยวอะไรแม้แต่นิดเดียว มาเต็มร้อยหมด พรรคพลังประชารัฐไม่เคยมีปัญหาเลย แม้แต่อภิปรายไม่ไว้วางใจครั้งล่าสุด ก็ไม่ได้หลุดไปเลยแม้แต่เสียงเดียว ดังนั้นไม่มีอะไรที่ต้องกังวลจากพรรคเรา

@นโยบายที่พรรคพลังประชารัฐจะสานต่อ หากได้รับเลือกตั้งจนสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้อีกครั้ง

เรื่องบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่จะต้องเป็นสวัสดิการแห่งรัฐจริงๆ ในการดูแลประชาชนคนไทยทุกคนอย่างเป็นระบบตั้งแต่อยู่ในครรภ์มารดาจนถึงเชิงตะกอน แก้ไขความยากจนอย่างยั่งยืน โดยไม่ใช่การแจกอย่างเดียว ในระยะยาวอาจจะใช้บัตรประชาชนของทุกคนแทน ซึ่งในบัตรประชาชนจะต้องบอกข้อมูลได้ว่าอายุเท่าไหร่ ทำอะไรอยู่ ควรจะได้รับสวัสดิการอะไร จะเป็นการดูแลอย่างเหมาะสม ไม่ใช่เรื่องการให้เงินเดือนละเท่านั้นเท่านี้ แต่เราอยากจะจัดสูตรในการดูแลให้กับเขา โดยทั้งหมดจะเป็นถังข้อมูล หรือ “บิ๊กดาต้า” ของประชาชนคนไทยขนาดใหญ่ แล้วจะสามารถทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของคนไทยดีขึ้น ไม่ใช่แจกเดือนละ 200-300 บาท ซึ่งไม่ได้แก้ปัญหาความยากจนอย่างยั่งยืน

เรื่องนี้ยังคงเป็นนโยบายของพรรคพลังประชารัฐอยู่ ถ้าในการเลือกตั้งครั้งหน้าเราได้เป็นแกนนำรัฐบาลก็จะผลักดันตรงนี้ต่อ และต้องทำให้ได้ ถ้าเรากล้าเปลี่ยนตรงนี้ก็ต้องรื้อใหม่หมด ทั้งเรื่องงบที่ไปอยู่คนละกระทรวง ซึ่งทั้งงบประมาณและข้อมูลควรจะอยู่ที่เดียวกัน ข้อดีอันหนึ่งที่จะเกิดขึ้นกับคนไทย นอกจากสวัสดิการแล้วคือการใช้งบประมาณที่มาจากภาษีประชาชนจะมีประสิทธิภาพมากขึ้น ไม่ใช่เบี้ยหัวแตก ซึ่งปัจจัยที่จะทำให้ประสบความสำเร็จคือประชาชนต้องเลือกเราก่อน ประชาชนฟังแล้วต้องเห็นได้ว่าจะต้องมีรัฐบาลที่ดูแลประชาชนแบบนี้ แล้วภายในพรรคพลังประชารัฐเองก็ต้องยึดมั่นในคำสัญญาที่มีกับประชาชน ว่าถ้าเขาเลือกเราเข้ามาจริงๆ เราต้องทำตรงนี้ให้ได้ เราต้องกล้าเปลี่ยน.