ทีมข่าวอาชญากรรม” เปิดแผนประทุษกรรมแก๊งนี้ ไม่ต่างจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่คนไทยตกเป็นเหยื่อ เพราะแก๊งคอลเซ็นเตอร์ออสเตรเลียใช้การชักชวนลงทุนผ่านพันธบัตร อ้างค่าตอบแทนสูง มีสคริปหรือบทสนทนาเป็นภาษาอังกฤษสำหรับชักชวนลงทุน ขณะสายโทรตุ๋นได้ค่าตอบแทน แถม“คอมมิชชั่น”อีก 2.5 % ของยอดเงินที่หลอกได้

ก่อนถูกทลายฐานในไทย กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง(บช.ก.) ได้รับการประสานจากสำนักงานตำรวจสหพันธรัฐออสเตรเลีย ว่ามีกลุ่มบุคคลต้องสงสัยย้ายถิ่นฐานเข้าไทย ใช้เวลากว่า 1 ปี ตำรวจจึงพบที่อยู่ปัจจุบันเป็นบ้านเดี่ยวในพื้นที่.บางพลี จ.สมุทรปราการ ที่มีราคาเช่าสูงถึงเดือนละ 120,000 บาท โดยก่อนย้ายมาจุดนี้พบเคยพักอยู่ย่านพัทยา จ.ชลบุรี ตั้งแต่ต้นปี 67

หลังเฝ้าติดตามพฤติกรรมพบพิรุธหลายอย่างทั้งบริเวณนอกบ้าน ที่มีการติดตั้งผ้าใบแบบเปิดปิด โดยจะเปิดเมื่อมีรถเข้า-ออก และมักมีการเคลื่อนไหวเข้า-ออก ระหว่างช่วงเวลา 05.00-15.30 น. ซึ่งตรงกับเวลาท้องถิ่นที่เป็นช่วงเวลาทำงานที่ประเทศออสเตรเลีย ซึ่งเริ่มตั้งแต่ 09.00-18.00 น.

จากการเข้าตรวจค้นสามารถจับกุมผู้ต้องหาต่างชาติทั้งออสเตรเลีย อังกฤษ แคนาดา และแอฟริกาใต้ ขณะนั่งทำงานหน้าจอคอมพิวเตอร์ และอยู่ระหว่างโทรศัพท์กับปลายสาย ภายในบ้านมีการจัดโต๊ะทำงาน พร้อมแปะสคริปและข้อมูลบริษัทที่อ้างไว้หลอกเหยื่อ ผู้ต้องหาที่จับกุมได้ครั้งนี้มีระดับ“ตัวการ”ที่หลบหนีมาจากประเทศอินโดนีเซียรวมอยู่ด้วย

สอบถามเบื้องหลังกับ...เอกพล ปัญจมานนท์ รอง ผกก.1 บก.ปทส. ยอมรับว่าเป็นแก๊งคอลเซ็นเตอร์ออสเตรเลียแก๊งแรกที่พบในประเทศไทย แก๊งนี้จะใช้การตั้งบริษัท และสร้างเว็บไซต์ เพื่อไว้ใช้หลอกให้ลงทุน ที่มีเพิ่มเติมคือการมีส่วนหลังบ้าน ทำการจ้างให้ยิงโฆษณาและเก็บข้อมูลลูกค้า ก่อนนำไปตรวจสอบว่าใครที่สามารถจ่ายเงินและร่วมลงทุนได้ จากนั้นจึงส่งข้อมูลทั้งหมดกลับไปให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์เริ่มโทรหาเป้าหมาย

วิธียิงโฆษณาก็เพื่อให้คำที่ค้นหาขึ้นมาอยู่บนสุด หรือพบเห็นได้ก่อน เป้าหมายจะเน้นไปที่กลุ่มที่ต้องการลงทุน มีการล่อใจด้วยค่าตอบแทนสูงปีละ 7-10 % ซึ่งถือว่าสูงมาก อีกจุดคือบริษัทที่ปรากฎข้อมูลมีการจดทะเบียนจัดตั้งจริงในออสเตรเลีย ยิ่งทำให้น่าเชื่อถือสำหรับผู้ที่สนใจจะลงทุน

ส่วนเหตุใดประเทศไทยจึงถูกเลือกใช้เป็นฐาน ...เอกพล อธิบายว่า ตามพฤติการณ์พื้นฐานของแก๊งค์สแกมเซ็นเตอร์หากจะหลอกประเทศไหน ก็จะไปอาศัยอยู่อีกประเทศหนึ่ง เพื่อให้การดำเนินคดีของเจ้าหน้าที่ตำรวจยากขึ้น

ขณะเดียวกันโดยภาพรวมประเทศไทยถือเป็นศูนย์กลางของภูมิภาค มีปัจจัยพื้นฐานโทรคมนาคมทั้งโทรศัพท์ อินเตอร์เนตที่ดี ค่าครองชีพไม่สูง จึงเอื้อให้มีการเข้ามาของอาชญากรรมที่ไม่ใช่เฉพาะแค่แก๊งคอลเซ็นเตอร์

อย่างไรก็ตาม ครั้งนี้ยังเป็นเรื่องดีที่ตำรวจสามารถหยุดความเสียหายได้เร็ว เพราะเชื่อว่าแก๊งนี้เพิ่งเริ่มลงมือได้เพียงเดือนแรก ทำให้ความเสียหายที่พบยังไม่มาก เบื้องต้นพบผู้เสียหายกว่า 10 ราย ความเสียหายประมาณ 40 ล้านบาท

ขณะข้อมูลอีกด้านตัวแทนตำรวจสหพันธรัฐออสเตรเลีย เผยให้เห็นยอดความสูญเสียของเหยื่ออาชญากรรมแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในประเทศออสเตรเลีย ที่มีมหาศาลไม่ต่างจากประเทศไทย เพราะเพียงแค่ 4 ปี ออสเตรเลียมีความเสียหายจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์ คิดเป็นเงินไทยเฉียด…แสนล้านบาท.

ทีมข่าวอาชญากรรม รายงาน