หลังเกิดเรื่องราว ขโมยรังนกอีแอ่น ครั้งประวัติศาสตร์ ชนิดไม่ยำเกรงกฎหมายบ้านเมือง บนหมู่เกาะสี่เกาะห้า ต.เกาะหมาก อ.ปากพะยูน จ.พัทลุง  แม้ทางตำรวจจะสามารถออกหมายจับและหมายเรียกผู้เกี่ยวข้องมารับทราบข้อกล่าวหาไปแล้ว 38 คน ซึ่งมีทั้งข้าราชการฝ่ายปกครอง ระดับ นายอำเภอ และ ปลัดอำเภอ 4 นาย, ตำรวจระดับ ผกก. และลูกน้องรวม 7 นาย, เจ้าหน้าที่ป่าไม้ 2 นาย, ผู้ใหญ่บ้าน 1 นาย, อาสาสมัครรักษาดินแดน (อส.) และ กลุ่มชาวบ้านเก็บรังนก มาจาก จ.ชุมพร ตรัง สงขลา และพัทลุง

แต่ชาวบ้านในพื้นที่ รวมไปถึงตัวแทน กลุ่มพิทักษ์ผลประโยชน์ประชาชนพัทลุง ยังเห็นว่าไม่มีเจ้าหน้าที่ออกมารับผิดชอบกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ที่สำคัญยังไม่มีคำตอบว่า เหตุการณ์กลุ่มบุคคลเข้าไปขโมยรังนกจำนวนมหาศาล กว่า 800 กิโลกรัม มูลค่าหลายสิบล้านบาทเช่นนี้ได้อย่างไร ถ้าไม่มีใคร “สั่งการ” รังนกจำนวนมากถูกนำ “ไปขายให้ใคร” ที่สำคัญ “เงิน” ที่ได้จากการขายรังนกที่ถูกขโมยตกไปอยู่ในมือใคร ?

จะว่าไปแล้วเส้นทางการสืบสวนสอบสวนคดีการขโมยรังนกครั้งนี้ก็ไม่ได้สลับซับซ้อนซ่อนเงื่อนเหมือนคดีฆาตกรรมบางคดี เพียงแค่เกิดเหตุขโมยรังนกบนเกาะ จับกุมกลุ่มผู้ก่อเหตุรับจ้างไปเก็บรังนกและผู้ที่ถูกซัดทอดได้แล้ว หลายคนจึงถูกกันเอาไว้เป็นพยาน แต่สิ่งที่ทางเจ้าหน้าที่ยังไม่ออกมาชี้แจงให้สาธารณชนได้รับรู้ว่า สรุปแล้วคดีนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร และใครจะต้องรับผิดชอบบ้าง ?

นายเด่น เทพกล่ำ

แฉ “กลุ่มผู้สั่งการ” ยังลอยนวล

ในเมื่อจู่ ๆ เรื่องเหมือนทำท่าจะเงียบกลุ่มชมรมพิทักษ์ผลประโยชน์ประชาชนพัทลุง ถึงขั้นรวมตัวเดินทางไปยังอาคารรัฐสภา ถนนสามเสน แขวงถนนนครไชยศรี เขตดุสิต ยื่นหนังสือต่อ กรรมาธิการการป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ สภาผู้แทนราษฎร ให้ตรวจสอบความไม่ชอบมาพากลเรื่องนี้อีกทางหนึ่งเพราะเห็นว่ามีเจ้าหน้าที่รัฐหลายหน่วยงานเข้าไปมีส่วนเกี่ยวข้อง โดยมี พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ประธาน กมธ.ป.ป.ช. สภาผู้แทนราษฎร เป็นผู้ออกมารับมอบหนังสือเรื่องดังกล่าวเอาไว้แล้วเช่นกัน

ทีมข่าว 1/4 Special Report  มีโอกาสสัมภาษณ์พิเศษ นายเด่น เทพกล่ำ รองประธานชมรมพิทักษ์ผลประโยชน์พัทลุง เปิดเผยว่า ที่ออกมาเคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องให้มีการสอบสวนเอาผิด “กลุ่มบุคคล” ที่มีส่วนเกี่ยวข้องคดีขโมยรังนกอีแอ่น บนหมู่เกาะสี่เกาะห้า ชนิดแบบล้างผลาญจนสร้างความเสียหายให้กับทรัพยากรธรรมชาติของจังหวัดพัทลุงเป็นจำนวนมาก แม้ว่าทางตำรวจจะมีการจับกุมและออกหมายเรียกให้ผู้ต้องหาออกมารายงานตัวรับทราบข้อกล่าวหาไปแล้วก็ตาม ชมรมพิทักษ์ผลประโยชน์พัทลุง ก็ยังต้องติดตามความเคลื่อนไหวของคดีขโมยรังนกอย่างใกล้ชิด เพราะวันนี้สังคมคนเมืองลุงยังเชื่ออย่างสนิทใจว่า จะต้องมี “ผู้สั่งการ”อยู่เบื้องหลังอีกจำนวนหนึ่ง ที่ยังไม่สามารถสืบสวนหาหลักฐานมาเอาผิดกับคนกลุ่มนี้ได้ เท่าที่ทราบผู้ที่ออกมามอบตัวก็ยังไม่มีใครให้การซัดทอดไปถึงข้าราชการที่มียศสูงกว่าระดับ “นายอำเภอ” และ “ผู้กำกับฯ”

อย่างไรก็ตามทางชมรมฯก็ยังมีความมั่นใจว่า ทีมเจ้าหน้าที่ซึ่งมาจากส่วนกลางไม่ว่าจะเป็น ตำรวจ, กรมสอบสวนคดีพิเศษ และป.ป.ช. จะสามารถสอบสวนหาหลักฐานมาเอาผิดผู้ที่สั่งการอยู่เบื้องหลังได้ ไม่ว่าจะเร็วหรือช้า ส่วนทางชมรมฯ ก็จะยังเกาะติดคดีขโมยรังนก พร้อมจะติดตามหา ผู้รับผิดชอบ ต่อความสูญเสียในครั้งนี้ให้ได้ นอกจากนี้ชาวบ้านกำลังรอดูว่า คณะกรรมการจัดเก็บรังนกอีแอ่นพัทลุง ซึ่งมี ผวจ.พัทลุง นั่งเป็นประธานโดยตำแหน่ง จะออกมาชี้แจงกับประชาชนชาวพัทลุงเช่นไรบ้าง เนื่องจากตาม พ.ร.บ.รังนก ระบุเอาไว้ค่อนข้างชัดเจนกำหนดให้คณะกรรมการฯ รับผิดชอบผลประโยชน์ที่เกิดจากภาษีอากรรังนกอีแอ่น

จ่อนัดรวมพลทวงถามคืบหน้าคดี

แต่ถ้ายังไม่ขยับตัวออกมารับผิดชอบ ชมรมพิทักษ์ผลประโยชน์พัทลุง จะรีบหารือในกลุ่มแกนนำกำหนดทิศทางเคลื่อนไหวต่อไป ที่ผ่านมาทางกลุ่ม ได้รวมตัวออกมายื่นหนังสือไปถึงกระทรวงมหาดไทย ผู้ตรวจการแผ่นดิน และคณะกรรมาธิการหลายคณะในสภาผู้แทนราษฎร ก็เริ่มมีคณะกรรมการลงพื้นที่สอบสวนหาข้อเท็จจริง มีทั้งผู้ตรวจการ กระทรวงมหาดไทย ตัวแทนผู้ตรวจการแผ่นดิน กรรมาธิการในสภาผู้แทนราษฎรบางคณะ และทางชมรมก็กำลังเฝ้ารอผลสรุปออกมาว่าจะเป็นอย่างไร

รองประธานชมรมพิทักษ์ผลประโยชน์พัทลุง กล่าวด้วยว่า ความจริงแล้วทางชมรมฯ เริ่มออกมาเคลื่อนไหวเกาะติดการเปิดประมูลสัมปทานรังนกอีแอ่น มาตั้งแต่ในช่วงที่บริษัทผู้รับสัมปทานเก็บรังนก อยู่ระหว่างรอลงนามในสัญญาสัมปทาน เคยมีหนังสือแจ้งไปยังคณะกรรมการรังนกอีแอ่นจังหวัดพัทลุงว่า เกิดเหตุขโมยรังนกบนหมู่เกาะสี่เกาะห้า แต่เจ้าหน้าที่ก็ไม่สนใจอย่างจริงจัง จนกระทั่งมีคณะทำงานลงไปสำรวจจึงพบว่ารังนกถูกขโมยไปจริง ๆ ที่น่าเสียใจเป็นอย่างมากคือการขโมยรังนกกันแบบล้างผลาญไม่ห่วงผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม ระดมคนเข้าถ้ำ มีการก่อกองไฟ จุดไฟกันภายในถ้ำ จนเป็นเหตุให้ “ลูกนก” ตายจำนวนมาก ส่วน “แม่นก” ต่างบินหนีออกจากถ้ำ นั่นคือความเสียหายที่เกิดขึ้นกับทรัพยากรทางธรรมชาติของจังหวัดพัทลุง

อนาคตยังไม่มั่นว่าแม่นก จะกลับมาทำรังบริเวณถ้ำจุดเดิมหรือไม่อย่างไร เมื่อการขโมยครั้งนี้แบบไม่ยำเกรงกฎหมายบ้านเมืองอีกทั้งยังมีเจ้าหน้าที่ของรัฐเองตกเป็นผู้ถูกกล่าวหาด้วยเช่นนี้ การประมูลสัมปทานรังนกไม่น่าจะมั่นคง จึงจำเป็นต้องมีผู้รับผิดชอบกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และอาจจะเป็นไปได้ว่าในเร็ว ๆ นี้ ประชาชนชาวจังหวัดพัทลุงจะรวมตัวออกมาทวงถามถึงการดูแลรับผิดชอบในการรักษาผลประโยชน์ของจังหวัดพัทลุง

ตามเกาะติดคดีไม่คืบหน้า

ด้านความเคลื่อนไหวของคดีขโมยรังนก หลังจากที่สัปดาห์ก่อน พล...สุชาติ ธีระสวัสดิ์ รอง ผบ.ตร. หัวหน้าชุดทำคดีขโมยรังนกอีแอ่น ได้จับกุมกลุ่มผู้ต้องหา ทั้งที่เป็น กลุ่มผู้ทำหน้าที่ขโมย ส่วนใหญ่เป็นผู้มีอาชีพรับจ้างเก็บรังนกมาจาก 4 จังหวัด และ กลุ่มผู้สนับสนุน ที่เป็นเจ้าหน้าที่รัฐหลายหน่วยงาน  หลังจากนั้นยังไม่มีการจับผู้ต้องหาเพิ่ม ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของ กลุ่มที่อยู่ในข่ายรับซื้อรังนก ถือเป็นผู้รับซื้อของโจรเพราะรังนกที่ถูกขโมยมีการประเมินน้ำหนักถึง 800 กิโลกรัม ตีราคาแล้วไม่ต่ำกว่า 24 ล้านบาท ขณะนี้เงินจำนวนดังกล่าวไปอยู่กับใคร ซึ่งทำให้ทั้งชาวบ้านและ กลุ่มชมรมพิทักษ์ผลประโยชน์ประชาชนพัทลุง จึงยังเฝ้าตามเกาะติดคดีนี้อย่างต่อเนื่องเพราะหวั่นเกรงจะกลายเป็นมวยล้มต้มคนดู

แหล่งข่าวให้ข้อมูลว่า เส้นทางการซื้อขายรังนก ซึ่งผู้ติดต่อเกือบทั้งหมดเป็นเจ้าหน้าที่ ซึ่งมีความน่าเชื่อถือ ส่วนผู้จะซื้อรังนกกว่า 800 กก.ได้นั้น คงหนีไม่พ้นกลุ่มที่อยู่ในแวดวงค้ารังนกรายใหญ่ แต่ที่ยังไม่มีการออกหมายเรียกหรือหมายจับเพิ่มเพราะกลุ่มผู้ถูกกล่าวหา ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ที่ถูกซัดทอดว่าเป็นผู้สั่งให้ขึ้นมาเก็บรังนกบนเกาะนั้น ยังคงให้การปฏิเสธพร้อมตั้งทนายสู้คดี นอกจากนี้ที่สำคัญที่สุด รังนกของกลาง กว่า 800 กก. ที่ประเมินกันเอาไว้นั้นยังไม่รู้อยู่ที่ไหน ทำให้การทำงานของพนักงานสอบสวนจึงต้องละเอียดรอบคอบ หาพยานหลักฐานให้ได้มากที่สุด เพราะถ้าสำนวนไม่รัดกุมอาจจะถูกสั่งไม่ฟ้องตั้งแต่ในชั้นอัยการ ตอนนี้จึงยังไม่มีหลักฐานเพื่อจะโยงไปถึง กลุ่มสั่งการ ที่อยู่เหนือกว่าเจ้าหน้าที่ระดับอำเภอ

พล.ต.ท.นันทเดช ย้อยนวล ผบช.ภ.9 กล่าวถึงคดีการขโมยรังนกบนหมู่เกาะสี่เกาะห้า จ.พัทลุง ว่า การจะขยายผลจับใครเพิ่มหรือไม่ เป็นหน้าที่ของหัวหน้าคณะทำงานที่รับผิดชอบ ซึ่งหากการสอบสวนมีการพาดพิงถึงใครก็อยู่ในดุลพิพิจของผู้รับผิดชอบ ในการหาพยาน หลักฐานเพื่อการจับกุม หากพยานหลักฐานไม่เพียงพอการยื่นขอหมายจับนั้น ศาลก็อาจจะไม่ออกหมายจับให้เพราะฉะนั้นพนักงานสอบสวนจึงต้องรอบคอบต้องรวบรวมหลักฐานให้เพียงพอ.