ดูอะไรดีสัปดาห์นี้จะพาทุกคนไปพบกับหนังภาคต่อของวายร้ายฮีโร่ “เวน่อม” และการหนีตายในยุค 90 ที่โมกาดิชูของคณะทูตเกาหลีเหนือและใต้

                เริ่มต้นกันที่เอเลี่ยนต่างดาวซิมบิโอท อย่าง “เวน่อม” ที่พลาดมาเข้าสิงร่างของ “เอ็ดดี้ บร็อก” นักข่าวสายบู๊ จนรวมร่างเป็นอสูรกายสีดำร่างยักษ์ฟันคมกริบ ไล่ปราบปรามกลุ่มโจรร้าย ภัยอาชญากรรมในเมืองต่าง ๆ จนไปเจอกับเอเลี่ยนคู่ปรับอย่าง “ไรออต” ซึ่งเอ็ดดี้และเวน่อมจัดการจนอีกฝ่ายพ่ายแพ้ราบคาบไปแล้วในภาค 1 กลับมาภาคนี้ เวน่อม ยังคงอยู่กับนักข่าวสายบู๊คนเดิม เพิ่มเติมคือเอเลี่ยนวายรายหน้าใหม่ ที่คราวนี้มีความโหดอันตรายระดับ 10 แข็งแกร่งจนแทบจะไร้เทียมทาน ตัวของมันมีสีแดงราวกับเลือด เมื่อ เอ็ดดี้ เข้าไปเยี่ยมฆาตกรโรคจิต “เคลตัส คาซาดี้” ในคุกเพื่อหาร่องรอยของศพที่ถูกเขาฆ่าตาย แต่กลับโดนอีกฝ่ายกัดเข้าที่มือ นั่นจึงทำให้ซิมบิโอทในตัวเขาส่วนหนึ่งไหลเข้าไปสิงร่างของฆาตกรโรคจิตรายนี้ ผสานร่างใหม่กลายเป็น  “คาร์เนจ” นั่นเอง

                ความโดดเด่นของ “Venom: Let There Be Carnage เวน่อม ศึกอสูรแดงเดือด” คือความโด่งดังในฐานะหนังทำเงินมหาศาล 469 ล้านดอลลาร์จากภาคแรก ทำให้ใครก็อยากดูภาค 2 ต่อ ด้วยโครงเรื่องที่เน้นมุมมองของตัวละครที่เป็นมนุษย์อย่าง เอ็ดดี้ ซึ่งมีชีวิตราวกับเป็นผู้แพ้มาตลอด แต่พอมี เวน่อม มาสิงร่าง อะไร ๆ ก็ดูจะง่ายขึ้น โดยเฉพาะเรื่องบู๊และทำลายล้าง แน่นอนว่า เอ็ดดี้ ยังมีความเป็นมนุษย์ เขาต้องห้ามไม่ให้ เวน่อม ไล่กินคนไปทั่ว ยกเว้นเสียแต่เหล่าวายร้ายและพวกอาชญากร แต่ในภาคนี้ความรุนแรงของอสูรสีดำถูกหั่นลงไปมาก แถมพยายามให้กลายเป็น “เอเลี่ยนขี้บ่น” ชอบเถียงกับ เอ็ดดี้ ทั้งเรื่อง เสมือนต้องการให้เห็นถึงความใกล้ชิดของคู่หู-คู่ฮา บทจึงไม่ได้ขยับไปไหนไกลเลย ผิดกับบทของตัวร้าย เคลตัส คาซาดี้ ที่นอนอยู่ในคุกรอการประหาร มีการปูพื้นเล่าเรื่องของฆาตกรโรคจิต ความคับแค้นใจในช่วงวัยเด็ก ไปจนถึงการถูกพรากคู่รักของเขา ซึ่งก็คือวายร้ายสาว “ฟรานเซส แบร์ริสัน” หรือ “ชรีค” กระทั่งฆาตกรหนุ่มมี คาร์เนจ มาอยู่ในร่าง ทำให้เกิดความโกลาหลขึ้นมากมาย และพลังทำลายล้างของอสูรสีแดงนั้น ทรงพลังมากกว่าเวน่อมหลายเท่า ต้องไปตามลุ้นกันว่า เวน่อมจะปราบคาร์เนจได้อย่างไร? แต่ที่ห้ามพลาดคือฉากความยาวประมาณ 20 วินาทีใน end credits ที่อาจทำให้ใครหลายคนต้องร้องโอ้โห…ก็เป็นได้

                ไปต่อกันที่เกาหลี Escape from Mogadishu : หนีตายโมกาดิชู” ที่อ้างอิงจากเหตุการณ์จริงในช่วงสงครามกลางเมืองโซมาเลีย เมื่อปี 1990 กับความพยายามหนีตายของคณะฑูตเกาหลีทั้งเหนือและใต้ ที่ต้องร่วมมือเพื่อช่วยชีวิตซึ่งกันและกัน ถึงจะถูกปลูกฝังให้เกลียดกัน ระแวงกันขนาดไหน แต่ลึก ๆ ความรู้สึกของการเป็นคนชาติเดียวกันก็ยังหลงเหลืออยู่

                ถามว่าหนังดีและน่าสนใจยังไง นี่คือหนังทำเงินอันดับหนึ่ง Box Office เกาหลีใต้ ปี 2021 กวาดรางวัลจากเทศกาลหนังต่าง ๆ มามากมาย และเป็นหนังที่ได้รับเลือกให้เป็นตัวแทนเข้าชิงรางวัลออสการ์ 2022 ของเกาหลีใต้อีกด้วย

                หน้าหนังดูเหมือนจะเป็นหนังหนีตายที่มีความเคร่งเครียด ดูยาก และต้องปวดหัวกับปัญหาการเมืองระหว่างประเทศต่าง ๆ แต่ผู้กำกับ รยู ซึงวาน สามารถทำให้หนังดูง่ายขึ้น มีการสอดแทรกความตลก ฉากเรียกรอยยิ้มมุมปากเอาไว้ได้ตลอดทั้งเรื่อง โดยเฉพาะบทของหนังเรื่องนี้ที่โดดเด่นมาก ๆ ในแง่ของการจิกกัดเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเกาหลีเหนือกับใต้ ความแตกต่างของทัศนคติและระบอบการปกครอง ทีมงานนักแสดงแทบทุกคนก็ช่วยให้หนังมีความโรแมนซ์เล็ก ๆ ของ “ศัตรูที่รัก” แม้จะเกลียดกันยังไง มันก็คนชาติเดียวกันนะ ถึงจะออกลูกบู๊แทบจะฆ่ากันตาย แต่ก็ยังอาลัยอาวรณ์กันอยู่ดี

                ส่วนตัวผู้เขียนชื่นชอบฉากขับรถไล่ล่าตอนท้ายเรื่องมาก แม้จะมีความโอเวอร์เกินเบอร์ไปไกล แต่มันก็ไม่ได้ขัดหูขัดตาจนทำให้อรรถรสของหนังเสียหายมากมาย ความกลมกล่อมยังอยู่ ถือเป็นหนังที่ดูไม่ง่าย แต่ก็ไม่ได้ดูยาก ใครที่เบื่อหนังทรงเดิม ๆ ฟอร์มเดิม ๆ หนีตายโมกาดิชู เป็นทางเลือกที่น่าสนใจมาก ๆ

ภาณุพงศ์ ส่องสว่าง-วุฒิ พิศาลจำเริญ