ผ่านมากันถึง ภาคที่ 6 แล้วสำหรับสุดยอดซีรีส์เกมแนว FPS-Open World อย่าง FAR CRY คราวนี้มาในธีมแคริบเบียนอย่าง “Yara” ประเทศในแถบอเมริกากลางที่ถูกแช่แข็งด้วยระบอบเผด็จการมากว่า 50 ปี คำถามที่คงจะเลี่ยงไม่ได้สำหรับซีรีส์ Far Cry คือในภาคนี้จะสนุกไหม แล้วตัวร้ายภาคนี้ที่ได้สุดยอดนักแสดงอย่าง Giancarlo Esposito หรือ ท่าน Moff Giedon จากซีรีส์ The Maidalorian หรืออีกนึงผลงานที่โด่งดังอย่าง Breaking Bad แล้วด้วย จะเจ๋งเหมือนตัวร้ายภาคก่อนๆ ด้วยหรือเปล่า ไปดูกันเลยครับ

STORY

Yara ประเทศหมู่เกาะสมมุติในแถบทะเลแคริบเบียน ที่ถูกปกครองด้วย Antón Castillo เผด็จการผู้ประกาศกร้าวจะพายารากลับไปเป็นแผ่นดินที่งดงามอีกครั้ง (คุ้นๆ นะ) ด้วยการชูนโยบาย Viviro พืชที่หาได้เฉพาะบนเกาะนี้ที่ถูกอ้างสรรพคุณว่าสามารถ ‘รักษามะเร็ง’ ได้ แต่ชาวโลกจะรู้ไหมว่ากว่าจะได้ยาเเต่ละลอตนั้น ต้องเเลกกับการถูกกดขี่ เเละ ชีวิตของประชาชน  เเละคุณ “ดานี่ โรฮาส” อดีตทหารยารันที่ต้องการจะหนีออกนอกประเทศแต่จับพลัดจับผลู กลับต้องมาจับปืนสู้เคียงคู่กับกองโจร “ลิเบอร์ตาด” เพื่อแลกกับเรือเพื่อใช้หนีจากไปจากยาราอีกครั้ง

เนื้อเรื่องในภาคนี้หลายคนต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าประเด็นการเมืองที่ใส่มานั้น “เบาและบางเกินไป” โดยส่วนตัวคิดว่าประเด็นการเมืองที่สอดแทรกไปในเกมนั้นถือว่า “ละเอียดและหนักแน่นมาก” เพียงแต่โดนความเป็น FAR CRY บดบังไปเสียหมด หากสังเกตกันดีๆ บทพูดของ NPC แม้แต่เอกสารในเกมก็มีการสอดแทรกประเด็นการเมืองเต็มไปหมด ยกตัวอย่างก็คือ ค่านิยม 12 ประการ เอ้ย! ข้อปฏิบัติสำเร็จชาวยารันแท้ 13 ประการ หรือเวลาที่เราเข้าไปในเขตเมืองหลวง เมื่อเข้าไปพูดคุยกับ NPC ที่สนับสนุน Antón Castillo แล้ว เวลาเขาพูดถึงกองโจรเกอริญ่า ก็มักจะพูดถากถางแดกดันใส่เรา แบบเดียวกันเปี้ยบทั้งที่จริงๆ แล้ว ไม่จำเป็นต้องทำละเอียดก็ได้ แถมฉากโหแบบที่เผด็จการเขาทำกันอยากการประหัตประหารกันกลางเมือง การใช้สารพิษกวาดล้างกล่มต่อต้าน รวมถึงเอาลูกเกลี้ยงยัดปากกันก็มี

ส่วนของ “โทน” ในการเล่าเรื่องนั้น Far Cry 6 ก็ยังคงความเป็น Far Cry เอาไว้เช่นเดิม ตัวเกมจะมีทั้งภารกิจและคัตซีนฮา ๆ (ปนแป้ก)  สลับกับเนื้อหาสุดจริงจัง ที่พาคุณไปสำรวจประเทศ Yara สัมผัสการเมืองการปกครอง การต่อสู้เพื่อแย่งชิงอำนาจ ยิ่งการที่ตัวละครเอกของเราสามารถพูดได้และมีส่วนร่วมกับการสนทนาก็ยิ่งทำให้การเล่าเรื่องในภาคนี้น่าสนใจยิ่งขึ้นไปอีก

ทางด้านของ ลุง Antón (อันนี้ชาวยารา) เขาเรียกกันนะ ถือว่าโชคดีมากที่ Giancarlo Esposito มาเป็นนักแสดงด้วยความที่ภาคนี้ตัวร้ายออกจะเป็น Pure Dictatorship ไปหน่อย การที่ได้ลุงแกมาแสดงนี่เหมาะช่วยให้ตัวร้ายที่ดูเพลนๆ กลายเป็นเผด็จการทรงเสน่ห์ที่ใครก็หลงใหลในคำพูดของเขา และพร้อมที่จะสนับสนุนเขาอย่างเต็มที่

ในส่วนที่หลายคนไม่ชอบมากที่สุดอย่าง “ฉากจบ” ความเห็นส่วนตัวคือ นี่คือฉากจบที่เหมาะสมที่สุดกับ Antón Castillo แล้ว แม้หลายคนอาจจะชินกลับเผด็จการที่ด้วยความจำเป็นตามแบบฉบับ Far Cry ที่ผ่านมา แต่ Far Cry 6 ได้แสดงให้เห็นแล้วว่า “เผด็จการอุดมคติ” ที่เหล่าเผด็จการทั้งหลายใฝ่ฝันที่จะเป็นนั้นมันเป็นอย่างไร แอบเสียดายตัวละครอย่าง Diego Castillo เล็กๆ ที่ถูกปูบทมาอย่างดีแต่สุดท้ายถูกตัดจบง่ายไปหน่อย แต่ก็ทำให้เราอดคิดไม่ได้ว่าถ้ามี What if มันจะเป็นยังไง

ส่วนที่น่าเสียดายที่สุดคือการที่เนื้อเรื่องเป็นเส้นตรงมากเกินไปในหลายๆ จุด ที่เป็นหัวเลี้ยวของต่อสำคัญของเรื่อง ผมอยากจะให้เราได้ตัดสินใจสักนิดสักหน่อย เพื่อที่ว่าเราอาจจะได้ฉากจบที่แปลกใหม่มาเกิดในซีรีส์นี้บ้างก็ได้

PRESENTATION

ในภาคนี้ทาง Ubisoft จัดหนักจัดเต็มในเรื่องของความยิ่งใหญ่เช่นเดิม ทั้งฉากทั้งแผนที่ยังคงสวยงามและทำได้เข้าธีมแคริบเบียนได้เป็นอย่างดี เท่าที่สัมภาษณ์ทีมงานมาถือว่าจัดหนักจัดเต็มมากโดยเฉพาะ Cut Scene ที่ทำได้ดีมาก ในส่วนอื่นๆ ก็ยังเหมือนเดิมทั้ง ภารกิจหลักที่มีน้อยกว่าภารกิจย่อย (บางอันน่าสนใจกว่าอีก) กิจกรรมผ่อนคลายมากมาย ออกสำรวจไล่เก็บของสะสม ปลดล็อกอาวุธชุดเกราะใหม่ ๆ บุกถล่มปราการของศัตรู เรียกได้ว่าระบบการเล่นหลักของเกมยังคงเป็นเกม Far Cry เอาไว้ทุกประการ เพิ่มเติมคือ แต่สิ่งที่ทำได้ดีขึ้นคือการนำเสนอโลกของยาราที่ไม่ได้จำเจอยู่แต่ในป่าเขา คราวนี้ยกเมืองศิวิไลซ์มาให้เราถล่ม เอ้ย! เดินถ่ายรูปด้วย

นอกจากนี้ยังมี เพลงจังหวะลาตินเพราะ ๆ จังหวะโจ๊ะ ๆ คลอไปด้วย (มีเพลงฮิตอย่าง Havana หรือ Livin La’ Vida Loca ด้วยนะ) แถมบางครั้งตัวเอกยังร้องเพลงคลอตามไปด้วยนะ ช่วยเติมสีสันให้บรรยากาศระหว่างเล่นได้ดีทีเดียวเชียว กินเวลาชีวิตได้ไม่ต่ำกว่า 40 ชั่วโมงได้เลย

อีกส่วนคือที่ผมอยากได้กับมาด้วย แล้วก็กลับมาจริงๆ คือ ระบบสภาพอากาศ ที่ถือว่าสมจริงมากๆ เทียบเท่าภาค 2 เลยด้วยซ้ำ (เผลอๆ ดีกว่าอีก) แต่สิ่งนี้ก็มีทั้งข้อดีและข้อเสียเพราะบางที่ภารกิจไหนที่ควรจะทำตอนเช้าแต่มันดันขึ้นมาตอนค่ำ ซึ่งเราข้ามเวลาไม่ได้ ถ้าจะทำบางภารกิจมันก็ดูฝืนๆ ไปเสียหน่อย แต่ถ้าใครชอบท้าท้ายก็คงไม่มีปัญหา

พูดแต่ข้อดีไปแล้ว มาพูดถึงข้อเสียนักกันบ้างดีกว่า และเป็นข้อเสียที่ค่อนข้างหนักด้วย ส่วนตัวมองว่ารูปแบบภารกิจส่วนใหญ่ รวมถึงการยึดฐานทัพ ยังจุดตรวจ มันค่อนข้างเดิมๆ ไปหน่อย คล้ายๆ กับการเปิดแผนที่ของภาคก่อนๆ ต่างกันตรงที่ว่าถ้าไม่ยึดก็ไม่เป็นไร ยึดดีกว่านะเดินทางก็สะดวกของก็มีให้ แล้วรูปแบบมันก็ซ้ำๆ ถ้ามันทำให้ต่างกว่านี้สักหน่อยนึงมันจะดีมากเลยทีเดียว

GAMEPLAY

สำหรับ Far Cry 6 ยังเลือกที่จะมอบความอิสระให้แก่ผู้เล่นทุกท่าน โดยหลักผู้เล่นจะต้อง โค่นลูกสมุนทรราชทั้งหมด 3 คน ใน 3 ภูมิภาคของ Yara ก่อน จะเด็ดหัวคนไหนก่อนก็เอาที่ตามสบาย (แม้ตัวเกมจะแนะนำว่าให้ไปเกาะซ้ายบนก่อน) โดยระหว่างนั้นผู้เล่นสามารถสลับทำภารกิจข้ามภูมิภาคไปมาได้ ซึ่งเกมก็จะปรับระดับความยากของศัตรูในภารกิจต่าง ๆ ให้อิงตามระดับเลเวลของผู้เล่นไปด้วย เพื่อไม่ให้ภารกิจเนื้อเรื่องที่สามารถเลือกเล่นได้ตั้งแต่ต้นง่ายเกินไปในช่วงหลัง (แต่ส่วนตัวคิดว่ามันก็โคตรง่ายอยู่ดี เพราะผมแทบจะไม่ได้ตายเลยด้วยซ้ำถ้าไม่นับการตายแบบมีมๆ อะนะ)

อย่างที่บอกไปในช่วง PRESENTATION ด้วยความที่แทบจะยกรูปแบบภารกิจ การยึดฐานทัพ ยังจุดตรวจ มาจากภาคที่แล้วแทบทั้งหมด เลยทำให้ผู้เล่นเกิด “ความเปื่อย” โดยเฉพาะในช่วงท้ายๆ มันจะเปื่อยยิ่งกว่าก๋วยเตี๋ยวเนื้อตุ๋นเสียอีกเพราะเมื่อเราอัพเกรดปืนหรือ Supremo จนเต็มแล้ว แม้จะเกม ก็จะปรับระดับความยากของศัตรูในภารกิจต่าง ๆ ให้อิงตามระดับเลเวลของผู้เล่นก็ตาม

พูดถึงระบบอัพเกรด ดีกว่าลืมระบบอัพเกรดแบบตัวละครที่เคยใช้ในภาค 3, 4, 5 และ New Dawn ไปได้เลย เพราะในภาคนี้เน้นไปที่ “อาวุธ” โดยเฉพาะ ซึ่งถือว่าทำได้ดีมากเพราะทำได้ละเอียดสุด กระสุนแต่ละชนิดก็เหมาะกับศัตรูที่ต่างกัน คอนเซปต์คือต้องเลือกประเภท Gadget ให้เหมาะกับภารกิจเพื่อเพิ่มโอกาสสำเร็จให้มากขึ้น อาวุธยิ่งดีของยิ่งแรงมากเท่าไรยิ่งต้องมีเลเวลในการซื้อที่สูงมากเท่านั้น ซึ่งก็ต้องวนไปอยู่กับการทำภารกิจ ตีป้อม ช่วยกองกำลัง “เกอลีญ่า” ลูปไปเรื่อยๆ ส่วนสิ่งที่เพิ่มเข้ามาอย่าง Supremo และ Resolver Weapon ผมถือว่าเป็นน้ำจิ้มเล็กๆ แต่ผมก็รู้สึกชอบนะเพราะว่ามันพลิกแพลงการเล่นให้ได้แปลกใหม่เยอะมาก คุณสามารถเล่นเป็น Genji จาก Overwatch ได้ อยากเป็นโปร Wall Hack ยิงทะลุ ก็ทำได้ หรือแม้แต่เล่นเป็น Watch Dog ก็ทำได้ด้วยเหมือนกัน แต่สุดถ้าแล้วเมื่อคุณสามารถสับอาวุธได้ทุกเมื่อ มันก็แทบ ไม่ยากเลยในการทำภารกิจต่างๆ เอาจริงๆ หรือแม้แต่การหาของก็ง่ายไม่จำเป็นต้องไปเดินฟาร์มให้เสียงเวลาเพียงไปฟาร์มคนแล้วให้ไปทำภารกิจ Los Bundito เพียงเท่านี้คุณก็ได้ของมากมายมาไว้สำหรับใช้อัพเกรดแล้ว

ระบบเพื่อนคู่หูจากภาคก่อน ๆ ก็ถูกเอาออกไป ภาคนี้คู่หูประจำตัวของเราจะมีแค่เจ้าสัตว์ร้ายสุดน่ารักโดยในเกมจะเรียกว่า Amigos แทน แต่เราก็ยังจำเป็นต้องทำภารกิจเพื่อปลดล็อกอยู่ดี นอกจากนี้เราสามารถอัพเกรดความสามารถของพวกมันได้ด้วยการทำ Challenge ที่กำหนดมา ยิ่งไปกว่านั้นในเกมยังมีชุดแต่งให้พวกสัตว์เหล่านี้รอคอยให้เราปลดล็อกตามหากันอีกด้วย

สิ่งที่ผมรู้สึกว่าดีมากๆ ในภาคนี้ คือมินิเกมที่สนุกมากๆ ทั้ง ทั้งแข่งรถ แข่งเรือ เล่นโดมิโน หรือเอา ไก่ชน ที่เก็บสะสมมาลงสนามต่อสู้แบบ Tekken โดยเฉพาะการ ตีไก่ นี่สนุกจัดๆ เหมือนเราได้กลับไปเล่น Tekken อีกครั้ง หรือจะเป็น โดมิโน ที่เล่นแล้วต้องลุ้นสุดนาทีต่อนาทีเลย

ส่วนที่ดีที่สุดคือ “ภารกิจพิเศษ” ที่เสมือนเป็นส่วนเสริมที่อัพเกรดให้ FAR CRY 6 มีความเป็น Survival มากขึ้น คุณจะต้องงัดทุกสกิลที่คุณมีมาใช้เพื่อผ่านภารกิจให้ได้ อธิบายสั้นคือเราต้องไปเอาชิ้นส่วนหรือของสำคัญกลับมาให้ได้โดยมีกองทหาร 1 กองพร้อมอาวุธครบมือ รอเราอยู่ซึ่งเราต้องเข้าไปเพียงคนเดียว เรียกได้ว่าเหมาะกับคนชอบท้าทายเอามากๆ แต่ถ้าเล่น 2 คนก็คงง่ายขึ้น เพราะตอนรีวิวผมเล่นโหมดนี้คนเดียว กว่าจะผ่านมาได้ก็ร้อนไปหลายรอบเหมือนกัน

PERFORMANCE

เรียกได้ว่า FAR CRY 6 เป็นเกมบรรยากาศสวยที่กินสเปคพอสมควร ในฉาก Cut Scene ทำได้สวยแต่ข้างนอกก็ยังมี “ดินน้ำมัน” มาให้เห็นไม่น้อย แต่ยังดีที่แม้จะปรับในกราฟิกระดับต่ำบรรยากาศ และภาพในเกมก็ยังสวยอยู่ไม่น้อย ตัวเลือก Option ต่าง ๆ ก็มีความหลากหลายเราสามารถเลือกปิด UI ที่ไม่ต้องการได้ เวลาปรับก็จะโชว์ให้เราเห็นตลอดว่ามันเปลี่ยนอย่างไร หรือจะปรับแต่งการแสดงผลสำหรับคนตาบอดสีก็ได้ ส่วนคอเกม PC ที่ใช้จอแบบ Ultrawide ก็ขอให้ดีใจ Far Cry 6 จัดเป็นเกมหนึ่งที่สนับสนุนการแสดงผลแบบ Ultrawide ในอัตราส่วน 32:9 เรียกว่าเหมือนดูหนังโรงเลย ส่วนในคอนโซลก็หายห่วงเล่นได้ลื่นๆ สบายๆ

สำหรับ AI ศัตรูในเกมนี่บอกเลยว่ายังทึ่มไม่เปลี่ยน และไม่ได้มีพัฒนาการทาง IQ จากเกมภาคเก่าๆเท่าไหร่เลย ปฏิกิริยาตอบสนองเวลาเจอกับเราก็ช้าเหลือเกิน กว่าจะชักปืนขึ้นมา กว่าจะเรียกรวมพลก็มักจะโดนเด็ดหัวทิ้งไปเรียบร้อยแล้ว ยังดีที่ผู้พัฒนาเลือกใช้จำนวน ความหลากหลายของอาวุธยุทโธปกรณ์ และรูปแบบกำลังเสริมที่หลากหลายมาชดเชย จัดเต็มทั้งหน่วยศัตรูสวมเกราะหนัก เฮลิคอปเตอร์จู่โจม หรือแม้แต่รถถัง ทำให้ผู้เล่นต้องปรับวิธีการต่อสู้ไปตาม แต่สุดท้ายหากใครที่เล่น Stealth เก่งๆ หรือใครไปขโมยรถถังที่มันดีๆ หน่อย ก็ทลายฐาน ถล่มศัตรูได้ไม่ยากนัก

ในส่วนของ Subtiltle ภาษาไทยก็ถือว่าทำได้ดีมากแปลได้ดีกว่าหลายๆ เกมเลยทีเดียว การใช้คำในบริบทต่างๆ ก็เข้ากับสถาการณ์ได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะคำด่านี่สุดๆ แถมยังมีเหน็บแนมเหล่าเผด็จการ รวมถึงมีมุกที่เข้าใจในเหล่าคนไทยด้วยถือว่าดีสุดๆ ไปเลยสำหรับ Subtiltle ภาษาไทย ของทีมงาน Ubisoft

สำหรับภาคต่อของเกมในตำนานอย่าง Far Cry 6 เรียกได้ว่าเป็นการนำ “สูตรสำเร็จ” มาปรุงแต่งเพิ่มเล็กน้อยได้อย่างลงตัวแม้หลายๆ คนอาจไม่ชอบตอนจบของเนื้อเรื่อง และตัวร้ายอาจไม่เป็นที่จดจำ จนเสียงแตก แต่สำหรับถือว่าเป็นอีกรสชาติที่แฟนๆ Far Cry หรือคนเล่นเกมควรจะได้สัมผัสด้วยตัวเองสักครั้ง ส่วนคนที่ไม่เล่นเกม หากอยากจะเล่นก็ถือว่าเหมาะเลยทีเดียวในการเริ่มต้นเล่น FPS เพราะว่ามันไม่ได้ยากอะไรมากมาย

“เกมปฏิวัติที่ไม่ได้ปฏิวัติ”

คงเป็นคำที่เหมาะสมที่สุดที่จะสามารถนิยามเกมนี้ได้ภายในประโยคเดียวแล้ว

——————————————–——————————————–
FAR CRY 6 BY INSIDE THE GAME
คอลลัมน์โดย Wacther
ติดตามรีวิวเกมส์ และ อื่นๆที่น่าสนใจได้ที่ : INSIDE THE GAME