วันอาทิตย์ที่ผ่านมา “ส.ส.โจ้” ยุทธพงศ์ จรัสเสถียร จากพรรคเพื่อไทย ออกมาดักคอว่าการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วันอังคารที่ 8 ก.พ. 65 จะมีวาระขอความเห็นชอบผลการเจรจาและเห็นชอบร่างสัญญาร่วมลงทุนโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว โดยจะขยายสัญญาสัมปทานรถไฟฟ้าสายสีเขียวจากปี 2572 (ปีที่หมดสัญญา) ให้กับ “บีทีเอส” ออกไปอีก 30 ปี

ทั้งที่ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย ประกาศว่าจะเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. ในเดือน พ.ค.นี้ แล้วทำไมไม่รอให้
ผู้ว่าฯกทม. คนใหม่เข้ามาตัดสินใจ ทำไมต้องรีบเพราะยังเหลืออายุสัมปทานอีก 7 ปี แถมผู้บริหาร กทม. ยังสร้างหนี้ขึ้นมาเป็น
หมื่น ๆ ล้านบาท แล้วปล่อยให้ประชาชนนั่งรถไฟฟ้าสายสีเขียว(ส่วนต่อขยาย) ฟรี!หลายเดือนแล้ว จึงอดสงสัยเรื่องความโปร่งใส เป็นการจัดฉากสร้างหนี้ก้อนโต เพื่อให้ ครม. ต่อขยายสัญญาสัมปทานหรือไม่?

“ส.ส.โจ้” กระหน่ำชุดใหญ่! พอถึงวันอังคารที่ผ่านมา รัฐมนตรี 7 คนของพรรคภูมิใจไทยจึงพร้อมใจกันติดภารกิจ โดดประชุม ครม. ท่ามกลางกระแสข่าวว่ารัฐมนตรีที่ “บอยคอต” การประชุม ครม. เพราะไม่อยากติดคุกกันในภายหลัง ถ้าไปเออออห่อหมกกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ พล.อ.อนุพงษ์ เรื่องการต่อสัญญาสัมปทานดังกล่าว

“พยัคฆ์น้อย” อ่านเอกสาร 2 ชุด โดยชุดแรกเป็นเรื่อง ส.ส. 6 คนของพรรคภูมิใจไทย ไปยื่นฟ้องคดีกับ กทม.ไว้ที่ศาลปกครอง เมื่อวันที่ 29 ม.ค. 64 เพราะไม่เห็นด้วยกับการประกาศกำหนดค่าโดยสารรถไฟฟ้าสายสีเขียวของ กทม. ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย หากมีผลบังคับใช้จะทำให้ผู้ฟ้องและประชาชนทั่วไปได้รับความเสียหาย โดยผู้ฟ้องเห็นว่าราคาค่าโดยสารไม่ควรเกิน 65 บาท ซึ่งถือว่าแพงแล้ว เพราะจริง ๆ สามารถทำให้ราคาต่ำลงมาจากนั้นได้ ถ้ามีการใช้ระบบ “ตั๋วร่วม”

เอกสารชุดที่ 2 นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม ทำเรื่องถึงนายกฯในเดือน เม.ย. 64 ว่าให้ กทม. กำหนดค่าแรกเข้า และใช้ระบบ “ตั๋วร่วม” เพื่อที่ กทม. จะกำหนดค่าโดยสารได้เหมาะสมกับค่าครองชีพของประชาชน และ กทม. ควรบริหารระบบสัญญารถไฟฟ้าสายสีเขียวให้มีระยะสิ้นสุดพร้อมกันทุกช่วง เพื่อเปิดให้เอกชนเข้าร่วมประมูลแข่งขันกัน

นอกจากนี้ยังระบุว่า กระทรวงคมนาคม ขอความอนุเคราะห์ข้อมูลจาก กทม. ไปหลายเรื่อง แต่ได้ข้อมูลไม่ครบ เช่น รายงานผลการเจรจาโดยละเอียด, แบบจำลองทางการเงินที่แสดงปริมาณผู้โดยสารตลอดอายุสัญญาในปี 2602, ประมาณการรายได้ในอนาคต, รายละเอียดค่าจ้างเดินรถเฉลี่ยต่อกิโลเมตรต่อตู้ และเอกสารแนบท้ายสัญญา ซึ่งมีรายละเอียดมาก

เหตุผลต่าง ๆ เหล่านี้ เป็นที่มาของ 7 รัฐมนตรี “บอยคอต” การประชุม ครม. เมื่อวันอังคารที่ผ่านมา ซึ่งกรณีดังกล่าวเป็นข่าวไปทั่วโลก เนื่องจาก พล.อ.ประยุทธ์ และ พล.อ.อนุพงษ์ ประเมินตัวเองผิดพลาดอย่างแรง!

ตอนนี้ การประชุมสภาล่มซ้ำซาก! พล.อ.ประยุทธ์ยังลาก ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาลมาประชุมสภาไม่ได้เลย! ลำพังในพรรคพลังประชารัฐ พล.อ.ประยุทธ์คงไม่รู้ว่าเหลือ ส.ส. ยังสนับสนุนตัวเองอยู่กี่คน? แต่นี่จะใช้ ครม. มาฉุดลากโครงการมูลค่าหลายแสนล้านบาท เพื่อต้องการ “ทิ้งทวน” ใช่หรือไม่? ซึ่งคำตอบก็เห็นแล้วว่าลากรัฐมนตรีจากภูมิใจไทยไว้ไม่ได้

ถามว่าเพราะอะไร? เมื่อก่อน นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และ รมว.สาธารณสุข ในฐานะหัวหน้าพรรคภูมิใจไทย มอง พล.อ.ประยุทธ์เป็นผู้มากบารมีและมีอิทธิพลเป็นที่น่าเกรงขาม! แต่ปัจจุบันไร้พิษสงแล้ว!

ประชาชนอย่างเรา ๆ ไม่รู้หรอกว่าเหลือ ส.ส. กี่คนที่ยังสนับสนุน พล.อ.ประยุทธ์! แต่นายอนุทินรู้! เมื่อนายอนุทินรู้ก็ควรถอนตัวออกมา จะล่มจมไปพร้อมเรือแป๊ะลำนี้ทำไม? ถึงอย่างไรแล้ว พี่น้อง “2 ป.” ต้องปิดจ๊อบรถไฟฟ้าสีเขียวกันให้ได้!

ส่วน พล.อ.ประยุทธ์ ถ้าต้องการจะ “ลาก” รถไฟฟ้าสีเขียวไปให้ถึงฝั่งฝัน! ก็ต้องรีบ ๆ ปรับ ครม. เอากระทรวงคมนาคมมาดูแลเอง! แต่บทสรุปส่งท้ายคือ ลากไปลากมาจนรัฐบาลล้ม! เพราะรถไฟฟ้าสีเขียวนี่แหละ!!.

—————–
พยัคฆ์น้อย