หากพูดถึงช่วงวัยที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะคุรผู้ชายหลาย ๆ คน ย่อมมีปัญหาหนักอกที่ดูเป็นเรื่องใหญ่อยุ่พอสมควร สำหรับการเกิด “นกเขาไม่ขัน” เพราะปัญหาโรคแฝง อาจเป็นจุดเริ่มต้นที่นำไปสู่ปัญหาระยะยาว รบกวนการใช้ชีวิตประจำวัน แต่เคยทราบกันบ้างหรือไม่ว่า.. อาการดังกล่าวสามารถหายขาดได้! จะเป็นอย่างไรนั้น Healthy Clean ในวันนี้มีคำตอบมาฝากกัน

โดย นพ.จักรพงศ์ จิรสิริธรรม ศัลยแพทย์ระบบทางเดินปัสสาวะ ประจำคลินิกสุขภาพเพศชาย (Men’ Health Clinic) โรงพยาบาลพริ้นซ์ สุวรรณภูมิ ในเครือพริ้นซิเพิล เฮลท์แคร์ (PRINCIPAL HEALTHCARE) เผยว่า ภาวะ “นกเขาไม่ขัน” หรือที่เรียกกันในภาษาอังกฤษว่า “Erectile Dysfunction” (ED) ในทางการแพทย์คือ ภาวะที่อวัยวะเพศไม่สามารถแข็งตัวได้อย่างเพียงพอ หรือไม่สามารถคงการแข็งตัวไว้ได้นานขณะมีเพศสัมพันธ์ หรือไม่สามารถมีเพศสัมพันธ์จนเสร็จกิจได้ ภาวะนี้แม้จะไม่อันตรายอะไรมาก แต่ก็มักเกิดปัญหาทางสุขภาพจิตต่าง ๆ เช่น ความสุขทางเพศ สัมพันธภาพในคู่สมรส ไปจนถึงปัญหาความสัมพันธ์ในครอบครัว

อันที่จริงแล้ว อาการ “นกเขาไม่ขัน” (Erectile Dysfunction) นั้น เป็นเพียงหนึ่งในภาวะการเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ นอกเหนือจากนี้ยังมีอาการหลั่งเร็ว (Premature ejaculation), ไม่เสร็จกิจขณะมีเพศสัมพันธ์ (Delayed or inhibited ejaculation), ไม่มีอารมณ์ร่วมทางเพศหรือมีน้อยลง (Low or no libido) ฯลฯ “โดยสาเหตุที่ทำให้ผู้ชายเสื่อมสมรรถภาพทางเพศ” ส่วนใหญ่มักเกิดร่วมกันระหว่างโรคทางกาย กับปัญหาทางด้านจิตใจ โดยสาเหตุทางกายที่พบได้ เช่น จากโรคประจำตัว เบาหวาน ความดัน โรคหัวใจ ปัญหาจากตัวหลอดเลือดเสื่อมสภาพหรือไปเลี้ยงไม่เพียงพอ จากระบบประสาท, จากระดับฮอร์โมนเพศชายที่ลดลง หรือมีความผิดปกติทางระบบฮอร์โมน โดยโรคทางกายที่เกิดนั่นอาจเกิดจากผลกระทบหรือเกิดร่วมกันกับภาวะทางจิตใจได้เช่นกัน

ดังนั้นการได้รับการปรึกษาและการรักษาที่ดีในแบบองค์รวมนั้น สามารถนำไปสู่การแก้ไขภาวะหรือตัวโรคได้อย่างครอบคลุม ตรงจุดและมีประสิทธิภาพ รวมไปถึงการป้องกันและส่งเสริมในทุก ๆ ด้าน และเพื่อสุขภาพที่ดีแบบยั่งยืน ซึ่งนอกจากการซักประวัติและตรวจร่างกายแล้ว อาจจะมีการตรวจวินิจฉัยเพิ่มเติมให้ได้ข้อมูลที่แท้จริงก่อนเริ่มทำการรักษา

อย่างไรก็ตาม “อายุ ถือเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญ และหลีกเลี่ยงได้ยาก” เมื่ออายุเพิ่มขึ้น โอกาสที่จะเกิดภาวะเสื่อมสมรรถภาพทางเพศเพิ่มมากขึ้นตามไปด้วย และจากสถิติภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศ มีโอกาสพบในผู้ชาย อายุต่ำกว่า 40 ปี ประมาณ 1-10% และในผู้ที่มีอายุมากกว่า 40 ปี ประมาณ 15-40% ตามช่วงอายุ

นอกเหนือจากอายุแล้ว ปัจจัยอื่น ๆ ก็สามารถเป็นความเสี่ยงต่อภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศได้ ยกตัวอย่างเช่น โรคประจำตัวหรือโรคเรื้อรัง เช่น โรคหัวใจ โรคความดันโลหิตสูง และโรคเบาหวาน ผู้ที่เคยมีประวัติการผ่าตัด ผู้มีภาวะบกพร่องฮอร์โมนเพศชาย ผู้ที่มีภาวะซึมเศร้า ตลอดจนมีพฤติกรรมเสี่ยงอื่น ๆ เช่น การสูบบุหรี่ ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรือขาดการออกกำลังกาย รวมทั้งปัจจัยทางสภาพสังคมและเศรษฐกิจ เป็นต้น

สำหรับ “แนวทางป้องกันภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศ” ควรดูแลสุขภาพให้แข็งแรง ทั้งทางด้านร่างกายและจิตใจ พักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และหลีกเลี่ยงปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ

ส่วนแนวทางการรักษาภาวะหย่อนสมรรถภาพทางเพศ แบ่งออกเป็น แบบที่ไม่ต้องใช้ยา และแบบที่ต้องใช้ยา หรืออุปกรณ์ช่วย อย่างเช่น ใช้ยากลุ่มยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ Phosphodiesterase Type 5 (PDE5i) ในการรักษาผู้ที่ไม่มีข้อห้ามใช้ หรือยารักษาทดแทนฮอร์โมนเพศชายในผู้ป่วยที่มีฮอร์โมนเพศชายผิดปกติ รวมไปถึงการใช้อุปกรณ์ หัตถการและการผ่าตัดในการรักษาต่าง ๆ เช่น การฉีดยากระตุ้นที่องคชาต การใช้คลื่นเสียงกระตุ้นการฟื้นฟูเนื้อเยื่อและหลอดเลือดของอวัยวะเพศ (Li ESWT) และการผ่าตัดใส่แกนองคชาตเทียม เป็นต้น

ทั้งนี้ “อาการหย่อนสมรรถภาพทางเพศ” ถือว่ามีโอกาสพบได้ทั่วไปในผู้ชายสูงวัย แต่อายุก็ไม่ใช่สาเหตุหลัก เพราะ 75% ของผู้ชายที่มีอาการหย่อนสมรรถภาพทางเพศ มักมีสาเหตุมาจากปัญหาสุขภาพ จึงพบได้แม้ในผู้ชายอายุไม่มากที่มีปัญหาสุขภาพแฝงอยู่ เช่น โรคหลอดเลือดอุดตันที่จะก่อให้เกิดโรคหัวใจขาดเลือดในอนาคต ดังนั้นการดูแลสุขภาพเพศ ไม่ใช่เรื่องที่น่าอาย และยังเป็นการได้ดูแลสุขภาพร่างกาย และจิตใจของตนเองรวมทั้งคนรอบข้างให้ดี มีความสุข และมีความมั่นใจอีกด้วย..

………………………………………
คอลัมน์ : Healthy Clean
โดย “พรรณรวี พิศาภาคย์”