รัฐบาลภายใต้การดูแลของ “บิ๊กตู่”  ประกาศชัดเจนเพื่อเดินหน้าสนับสนุนยานยนต์ไฟฟ้า หรือรถอีวี ล่าสุด ได้คลอดสารพัดมาตรการ เพื่อให้…ไทยยังคงความเป็น “ดีทรอยต์แห่งเอเชีย”

หนทางของการเข้าสู่การเป็นฐานการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า…ด้วยความหวังในอีก 8 ปี ข้างหน้า ประเทศไทยจะผลิตยานยนต์ไฟฟ้า หรือรถยนต์อีวี ได้ 30% ของปริมาณการผลิตรถยนต์ในประเทศ หรือประมาณ 725,000 คันต่อปี

ข้อมูลจากคณะกรรมการนโยบายยานยนต์ไฟฟ้าแห่งชาติ กระทรวงพลังงาน ระบุว่า ในกรณีที่เป็นรถยนต์ที่มีที่นั่งไม่เกิน 10 คน ราคาไม่เกิน 2 ล้านบาท จะได้รับการลดภาษีนำเข้า 40% ในปี 65-66 แล้วยังได้ลดภาษีสรรพสามิต เหลือ 2% ในปี 65-68

ไม่เพียงเท่านี้!! ยังแถมด้วยเงินอุดหนุนจากรัฐบาล 70,000 บาท และ 1.5 แสนบาท ตามขนาดของแบตเตอรี่

แต่หากมีราคา 2-7 ล้านบาท ได้ลดภาษีนำเข้า 20% และได้ลดภาษีสรรพสามิตเหลือ 2% ในช่วง 2 ปีนี้ แต่จะไม่ได้รับเงินอุดหนุนใด ๆ จากรัฐบาล

ส่วนกรณีรถกระบะที่ผลิตในประเทศ ราคาไม่เกิน 2 ล้านบาท จะไม่มีภาษีสรรพสามิต ในช่วง 3 ปี คือตั้งแต่ปี 65-68 ได้รับเงินอุหนุน 1.5 แสนบาท โดยขนาดแบตเตอรี่ 30 กิโลวัตต์ต่อชั่วโมง เป็นเวลา 3 ปี จนถึงปี 68

ขณะที่ รถมอเตอร์ไซค์ ราคาไม่เกิน 1.5 แสนบาท จะได้รับเงินอุดหนุน 18,000 บาท เป็นเวลา 3 ปี เช่นกัน

มาตรการของรัฐบาลครั้งนี้!! ก็สามารถดึงดูดแรงสนใจ…แรงซื้อ…จากคนที่ยังมีกำลังซื้อไม่น้อยทีเดียว เพราะในงานมอเตอร์โชว์ 2022 งานแสดงรถยนต์ช่วงฤดูร้อน ที่จัดมานานถึง 43 ปี เพราะเพียงแค่โค้งแรกของการจัดงาน ก็มียอดจองรถโดยรวมเข้ามาไม่น้อยกว่า 3,000 คันเข้าไปแล้ว

รถยนต์ไฟฟ้าที่สามารถจำหน่ายได้ภายใต้มาตรการของรัฐบาล ที่ลงนามเข้าโครงการเป็นล่ำเป็นสัน ทั้งค่ายเอ็มจี และค่ายเกรท วอลล์ มอเตอร์ ก็โกยยอดจองได้ไม่น้อยทีเดียว เพราะอย่างน้อย ๆ ราคาก็ลดลงไปแล้วอย่างน้อย 70,000-1.5 แสนบาท

กรมสรรพสามิต บอกว่า นอกจากสองค่ายนี้แล้ว บรรดาค่ายรถอื่น อีก 9 ค่ายดัง ก็ต่อคิวรอเข้าโคงการของรัฐบาลแล้ว ก็อย่างว่าล่ะ… เทรนด์โลกมุ่งไปสู่รถยนต์ไฟฟ้า ใครไม่คว้าไว้ตอนนี้ ก็ตกขบวน

เพราะ!! อย่างน้อยค่ายรถยนต์จากจีน ก็เตรียมทยอยนำเข้ารถอีวี เข้ามาขายในไทย ไม่น้อยกว่า 2,000-3,000 คัน และภายในสิ้นปี้ โดยกรมสรรพสามิตประเมินคร่าว ๆ ว่าตลอดทั้งปีนี้ยอดขายรถยนต์อีวี จะมีประมาณ 7,000-10,000 คัน

แน่นอนว่า ประชาชนที่มีกำลังมีสตางค์ ก็ต้องฉวยโอกาสนี้เพื่อจับจองเป็นเจ้าของ และยิ่งถ้าอัตราภาษีสรรพสามิตประกาศออกมาตามกฎหมาย ก็ยิ่งเป็นแรงดึงดูดเข้าไปอีก

ไม่เพียงเท่านี้…รัฐบาลยังเตรียมอำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้ โดยการทำ “มิเตอร์ไฟฟ้าแบบพิเศษ” ที่สามารถชาร์จไฟฟ้า จากที่บ้านได้ทันทีอีกต่างหาก

เรียกง่าย ๆ ทุกวันนี้!! รัฐบาลเดินหน้าโปรโมทยานยนต์ไฟฟ้าในทุกรูปแบบ ทั้งการกระตุ้นให้เกิดการลงทุน การผลิต การขาย หรือแม้แต่การเดินหน้าโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับรถยนต์ไฟฟ้า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง…ปั๊มชาร์จไฟฟ้า

แต่ถามว่า “ความพร้อม” ของคนที่จะใช้รถยนต์ไฟฟ้า มีมากน้อยเพียงใด แม้เรื่องของปั๊มชาร์จไฟฟ้าจะเป็นเรื่องแรก ๆ ที่เป็นข้อกังวล มีข้อมูลระบุว่า ปัจจุบันมีคู่พันธมิตร 7 คู่ ที่ลงทุนในเรื่องของสถานีชาร์จไฟฟ้า

ว่ากันว่า…เฉพาะในปี 65 นี้ จะมีจำนวนสถานีชาร์จรวมกันเกิน 600 สถานี มีหัวชาร์จมากกว่า 1,200 หัวชาร์จ ขณะที่ตามแผนของรัฐบาล ตั้งเป้าหมายว่า ในปี 68 จะมีสถานีชาร์จรวม 4,400 สถานี และในปี 70 จะมีมากกว่า 10,000 แห่งทั่วประเทศ

แต่ก็ใช่ว่า ปั๊มชาร์จ จะมีมาก มีเยอะเท่านั้น แต่ต้องมีให้ครอบคลุมทุกเส้นทางของการเดินทาง ไม่ต่างจากปั๊มน้ำมันในปัจจุบันนั่นแหละ

นอกจากนี้ยังมีเรื่องของ…ความปลอดภัย ที่ต้องคำนึงถึงด้วยเช่นกัน อย่าลืมว่า ประเทศไทยถูกจัดให้เป็นประเทศที่มีอัตราการเกิดอุบัติเหตุสูงเป็นอันดับ 9 ของโลก และสูงที่สุดเป็นอันดับ 1 ในเอเชียและอาเซียน โดยองค์การอนามัยโลก (WHO)

ดังนั้นการเข้าช่วยเหลือกรณีเกิดอุบัติเหตุของรถยนต์ไฟฟ้า ก็ต้องมีบุคคลากรที่มีความรู้ความสามารถ รู้จักระบบของรถอีวีเป็นอย่างดี

หรือแม้แต่…หน่วยงานของภาครัฐ ก็ต้องกำหนดกฎเกณฑ์ตรวจสอบคุณภาพของยานยนต์ไฟฟ้าและอะไหล่ที่เกี่ยวข้องที่ได้มาตรฐานและมีความปลอดภัยในการขับขี่

แต่เหนืออีกสิ่งอื่นใด!! คนที่จะใช้รถยนต์ไฟฟ้า ก็ต้องมีความสมาร์ท มีการวางแผนอย่างดีด้วยเช่นกัน

ไม่เช่นนั้น…การหวังแต่เพียงประหยัด รถยนต์ราคาถูก ไม่มีมลพิษ แต่สุดท้ายปลายทางอาจไปไม่ถึงในเวลาที่ต้องการก็ได้!!

……………………………………….
คอลัมน์ : เศรษฐกิจจานร้อน
โดย “ช่อชมพู”