1.

นักสืบจอน แคดเนอร์ ได้ยินเรื่องคดีฆาตกรรมคู่รักวัยรุ่นมานานแล้วตั้งแต่เด็ก เหตุกาณ์นี้เกิดขึ้น 20 ปีก่อน เขาเกิดในวันที่ 2 มกราคม 1956 เหตุเกิดที่รัฐมอนแทนา สหรัฐอเมริกา จุดเกิดเหตุเป็นถนนที่คู่รักสมัยก่อนชอบขับรถมาพลอดรักจีบกัน

เหยื่อชายหญิง 2 คนถูกยิงตายอย่างเหี้ยมโหด ฝ่ายชายชื่อ ดูแอน โบเกิล (Duane Bogle) อายุเพียง 18 ปี ฝ่ายหญิงอายุเพียง 16 ปี ชื่อแพทริเซีย คาลิสกี้ (Patricia Kalitzke) เท่านั้น หมดโอกาสที่จะได้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ ได้เห็นสังคมก้าวหน้า ได้แก่ชรา

มันเป็นคดีปิดไม่ลง ฝรั่งเรียกว่า Cold Case มานาน จนเมื่อจอนเข้าทำงานเป็นตำรวจ ได้เลื่อนยศเป็นตำแหน่งนักสืบ เขาก็คิดว่ามันควรจะต้องไขคดีนี้ให้จบลงสักที อย่างน้อยญาติพี่น้องคนตายก็จะได้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับผู้เสียชีวิตและใครฆ่า

ตอนเกิดเหตุไม่มีพยานเห็นเหตุการณ์ แต่ตำรวจเก็บหลักฐานที่พบไว้ครบถ้วน นักสืบจอนกำลังมาพิจารณาคดี อ่านการสอบปากคำพยาน ผู้ต้องสงสัยที่ตำรวจยุคนั้นสอบปากคำ มันเป็นเอกสารที่หนา เขาอ่านมันอีกรอบเพื่อหาข้อบกพร่อง อะไรที่ไม่สมเหตุสมผล อะไรบางอย่างที่ดูไม่เข้าเค้า สิ่งนี้อาจเป็นเบาะแสทางคดีได้

แต่สุดท้ายจอนก็ยอมรับ ดีเอ็นเอต่างหากคือคำตอบของการไขคดีปริศนานี้

2.

คาลิสกี้เป็นเพียง นร.ชั้นมัธยมต้น ณ ตอนนั้น ส่วนฝ่ายชายโบเกิลทำงานเป็นทหารอากาศในรัฐเทกซัส ทั้งสองชอบเที่ยว เต้นและดนตรี เป็นเรื่องปกติของหนุ่มสาวอเมริกันยุคนั้นหรือแทบทั้งโลก จนได้มาพบหน้ากันในเดือนธันวาคม 1955 1 เดือนก่อนเสียชีวิต ทั้งสองปิ๊งกันและขับรถไปเที่ยวไปพลอดรัก แต่เมื่อหญิงสาวไม่กลับบ้าน ทางครอบครัวจึงออกตามหา ทีแรกทุกคนคิดว่าหนุ่มสาว 2 คนหนีตามกันไป จนทีมปีนเขาไปพบรถของฝ่ายชายแล้ว เจอตัวชายหนุ่มถูกยิงที่ท้ายทอย มือถูกมัดที่แผ่นหลังด้วยเข็มขัดของเขาเอง มันจึงกลายเป็นเหตุฆาตกรรมขึ้นมา

ทรัพย์สินของฝ่ายชายยังอยู่ครบ กล้องถ่ายรูปราคาแพงก็ไม่ได้ถูกขโมย หญิงสาวไม่อยู่ เจ้าหน้าที่กลัวว่าเธอจะถูกลักพาตัวไป แต่พอค้นอย่างละเอียด ก็เจอร่างของเธอถูกทิ้งไว้ 8 กิโลเมตรจากจุดเกิดเหตุ สภาพศพถูกยิงที่หัว ร่างกายมีรอยฟกช้ำจากการต่อสู้และการคุกคามทางเพศ นักหนังสือพิมพ์เรียกเหตุการณ์นี้ว่า “การสังหารโหดบนถนนสายพลอดรัก”

ตำรวจระดมกำลังสืบสวน ผู้ต้องสงสัยมีถึง 35 คน หนึ่งในนั้นมีเจมส์ บูลเกอร์ ซึ่งต่อมาเขาจะเป็นเจ้าพ่อนักฆ่าตัวฉกาจแห่งเมืองบอสตัน (ตอนหน้าผมจะเขียนถึงเขา ทั้งโหด ทั้งเหี้ยม ทั้งร่วมมือกับเอฟบีไอ ก่อนจะถูกแฉโดยนักข่าว) แต่ตอนนั้นเขาอาศัยในละแวกจุดเกิดเหตุและเคยโดนจับฐานข่มขืนมาแล้วก่อนเกิดเหตุการณ์ยิงคู่รักได้ 5 ปี

ผู้ต้องสงสัยที่นำตัวมาสอบ ทุกคนไม่ใช่ฆาตกรคดีสังหารโหดนี้ ยกเว้นเพียง 1 คน ซึ่งจอนจะรู้ความจริงในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา

3.

ในปี 2018 เทคโนโลยีการสร้างสาแหรกตระกูลจากยีนส์ ที่ใช้ดีเอ็นเอของคนมาสะสมสร้างเครือข่ายตระกูลว่าใครเป็นญาติใครกันบ้าง เทคโนโลยีนี้ได้รับความนิยมในอเมริกาอย่างมาก เพราะเราก็อยากรู้ว่าสาแหรกเรามาจากไหนกันแน่ ใครเป็นญาติพี่น้องที่ยังหลงเหลืออยู่  ซึ่งเจ้า เทคโนโลยีนี้นำไปสู่การจับกุมฆาตกรต่อเนื่องได้หลายรายแล้ว เพราะตำรวจเอาดีเอ็นเอที่พบมาสร้างสาแหรก ดูความเกี่ยวโยงแล้วค่อย ๆ ไล่ไปหาบุคคล ดูอายุ ดูสถานที่การทำงาน นับเป็นเทคโนโลยีในการจับคนร้ายที่ก้าวหน้ามาก หลายคดีที่ปิดไม่ลงในสมัยก่อน ก็สาวถึงตัวคนร้ายได้ในที่สุด

นักสืบจอนจึงใช้ดีเอ็นเอจากหลักฐานที่พบซึ่งตำรวจยุคนั้นเก็บไว้นานมาก มันมีทั้งอสุจิที่พบในร่างของหญิงสาว ตัวอย่างอื่น ๆ ถูกเก็บไว้กว่า 60 ปีแล้ว ในช่วงปี 2001 มีการเอาดีเอ็นเอจากน้ำอสุจิมาตรวจแล้วไม่ตรงกับฐานข้อมูลของคนร้ายคดีไหนเลย

จนเมื่อเทคโนโลยีสร้างสาแหรกมาถึง มีการนำดีเอ็นเอของคนร้ายคดีฆ่าคู่รักนี้ มาสร้างสาแหรกเชื่อมโยงไปหาคนอื่น ๆ ไม่นานก็พบชื่อ นายกูลด์ ซึ่งลูก ๆ ของเขามีดีเอ็นเอตรงกับคนร้ายในคดีนี้ แน่นอนว่าในช่วงเกิดเหตุลูก ๆ ของกูลด์ยังไม่เกิด ตำรวจจึงสาวไปหากูลด์ในทันที ขณะนั้นเขาอายุเพียง 29 ปี อยู่ห่างไปเพียงโลกว่า ๆ จากบ้านของหญิงสาว ตอนนั้นเขาแต่งงานกับหญิงอายุ 16 ปี และมีลูกอยู่ด้วยกัน 5 คน หลังเกิดคดีฆาตกรรม เขาและครอบครัวย้ายออกไปรัฐอื่นและไม่เคยกลับมาบ้านเกิดที่เกิดเหตุอีกเลย ตรวจสอบประวัติไม่พบว่าเคยทำผิดอะไรเลยตลอดชีวิต นั่นทำให้ดีเอ็นเอหาไม่เจอ

อย่างไรก็ดีกูลด์ตายไปในปี 2007 อายุ 79 ปี ไม่มีหลักฐานว่าเขาเกี่ยวโยงอะไรกับหญิงสาว แอบชอบ แอบหลงรักหรืออย่างไร แต่หลักฐานทางคดีชี้ชัดว่าเขาเกี่ยวข้องกับผู้ตาย น้ำอสุจิเขาปรากฏในร่างของ น.ส.คาลิสกี้ โดยขณะนั้นกูลด์ถือเป็นผู้ต้องสงสัยในคดีนี้ด้วย แต่เมื่อไม่มีหลักฐานเพิ่มเติม จึงไม่มีการแจ้งข้อหากูลด์

ลูก ๆ ของกูลด์ที่ส่งดีเอ็นเอไปเปรียบเทียบก็ตกใจ เพราะไม่คิดว่าพ่อจะเป็นฆาตกรในคดีปริศนานี้ได้

ทางครอบครัวของชายหนุ่มที่เสียชีวิต ต่างตกใจกับความจริงนี้ แต่ก็เหมือนได้ปลดปล่อยจากคำถามที่คาใจตลอดเวลา ตอนเกิดเหตุป้าของชายหนุ่มร้องไห้ไปทั้งอาทิตย์ นี่คือชายแสนดีมีเสน่ห์ ใคร ๆ ก็ชอบ แต่สุดท้ายเขากลับถูกฆาตกรรมพร้อมคนรัก ทางครอบครัวผู้ตายบอกว่า เหมือนกับเหตุการณ์นี้พึ่งผ่านมาเมื่อวานนี้เอง พวกเขาบอกว่าเทคโนโลยีใหม่นี้มันดี อย่างน้อยมันก็ช่วยไขคดี แต่มันก็เปิดบาดแผลที่คนยุคเก่าพยายามจะลืมมันไป

สำหรับนักสืบจอน ในที่สุดเขาก็ไขคดีปริศนานี้ได้สำเร็จ

แต่สำหรับลูกสาวของนายกูลด์ เธอบอกสั้น ๆ เพียงว่า “บางคนก็มีความลับที่เขาไม่ยอมที่จะบอกใคร และเราก็ไม่มีวันรู้”

อ้างอิงข้อมูลจาก https://www.nytimes.com/2021/06/11/us/great-falls-montana-2007-homicide-dna.html?referrer=masthead

…………………………………………………………………………………….
คอลัมน์ : หนอนโรงพักโดย “ณัฐกมล ไชยสุวรรณ”
ขอบคุณภาพจาก : Pixabay