สถานการณ์เกี่ยวกับราคาหมูเป็นๆ และเนื้อหมูชำแหละ ยังขึ้นๆ ลงๆผันผวน ส่งผลกระทบต่อคนไทยเป็นอย่างมาก หลังจากราคาหมูเป็นๆช่วงต้นปี 65 ที่ผ่านมา พุ่งขึ้นไปถึง กก.ละ 114 บาท และราคาเนื้อหมูชำแหละทะยานขึ้นไปถึง กก.ละ 240-250 บาท แต่หลังจากทีมข่าว Special Report ออกมาจี้ให้ภาครัฐเร่งตรวจสอบปริมาณสต็อกเนื้อหมูตามห้องเย็นบริษัทต่างๆทั่วประเทศ ว่าอาจเป็นสาเหตุของการเก็งกำไร ซึ่งเจ้าหน้าที่รัฐได้ออกตรวจสอบจนพบเนื้อหมูในห้องเย็นกว่า 1 ล้าน กก. มีผลทำให้ราคาหมูดิ่งลงมาระยะหนึ่ง

โดยช่วงต้นเดือน มี.ค.ที่ผ่านมา ราคาหมูเป็นๆหน้าฟาร์มดิ่งลงมาอยู่ที่ กก.ละ 82-84 บาท แต่หลังจากนั้นช่วงกลางเดือน มี.ค.เรื่อยมา ราคาหมูเป็นๆหน้าฟาร์ม ค่อยๆปรับราคาขึ้นอย่างเงียบๆ “วันพระ” ละ 2-4 บาท/กก. จนถึงปัจจุบัน

ไม่มีรายย่อยรายเล็ก-ขึ้นราคากันใหญ่!

เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว “เสี่ยตู่” ผู้กว้างขวางในวงการหมูย่านจ.ราชบุรีและนครปฐม เปิดเผยกับทีมข่าว Special Report ว่าหลังจากเนื้อหมูในสต็อกห้องเย็นหมดแล้ว คราวนี้คนไทยเจอของจริง ได้กินหมูแพงกันอีกรอบ โดยรอบนี้อาจจะยาวนานกว่าคราวที่แล้ว เนื่องจากยังไม่มีผู้เลี้ยงหมูรายกลาง-รายย่อย มาคอยตัดราคากับผู้ประกอบการรายใหญ่

วันนี้ (23เม.ย.65) ราคาหมูเป็นๆ ประกาศอย่างเป็นทางการ กก. 96 บาท แต่ปัญหาคือไม่มีหมู เพราะรายใหญ่จะค่อยๆปล่อยหมู ใครที่สนิทจริงๆจึงปล่อยหมูเป็นๆให้ แต่คุณต้องจ่าย กก.ละ 100-102 บาท แถมยังจำกัดจำนวนด้วย

“คุณซื้อหมูเป็นๆออกไป กก.ละ 100-102 บาท ไปชำแหละแล้วต้องขาย กก.ละกว่า 200 บาท เพราะต้องการรักษาอาชีพนี้ไว้ และเพื่อเลี้ยงลูกน้อง แต่เนื้อหมูในห้างฯเขาขายถูกกว่า ถามว่าใครจะไปซื้อเนื้อหมูตามเขียง ตามแผงขายที่อยู่ข้างนอก คุณก็ตายอยู่ดี เพราะถูกรายใหญ่บีบด้วยกลไกต่างๆทุกช่องทาง และรอบนี้หมูเป็นๆคงไม่ต่ำกว่า กก.ละ 110 บาท อย่างแน่นอน”

“เสี่ยตู่” กล่าวต่อไปว่า ปัจจุบันรายใหญ่ๆ ซึ่งมีอยู่ไม่กี่บริษัท เขาคุยกันรู้เรื่อง คุยกันทุกวัน เพราะไม่มีรายย่อยมาคอยตัดราคาแล้ว จึงค่อยๆดันราคากันวันพระละ 2-4 บาท สภาพความจริงมันเป็นแบบนั้น สำหรับผู้เลี้ยงหมูรายย่อย-รายเล็ก ต้นทุนการเลี้ยงหมูอยู่ที่ กก.ละ 72-80 บาท (ขึ้นอยู่กับขนาดฟาร์ม) ส่วนรายใหญ่ต้นทุนจะถูกกว่านี้อีก 5-10 บาท

จี้รัฐบาลเร่งทำ3ข้อ-อย่าปล่อยให้ผูกขาด!


ดังนั้นเมื่อราคาหมูเป็นๆขยับขึ้นมา 90/กก. ผู้เลี้ยงหมูรายย่อย-รายเล็กมีความสุขกันแล้ว และไม่อยากให้ขยับราคาขึ้นไปมากกว่านี้ เพราะเกรงยอดขายจะตก! แต่รายใหญ่บอกยังไม่พอ ขอดันราคาไปต่อเรื่อยๆก่อน เพราะอะไร? เพราะรายใหญ่รู้ว่าตอนนี้รายย่อย-รายเล็ก เพิ่งกลับมาซื้อลูกหมูไปเลี้ยงแค่ 20% จากจำนวนผู้เลี้ยงรายย่อย-รายเล็กทั้งหมดเท่านั้น โดย 20% ที่ว่านี้ก็เป็นเครือข่ายของรายใหญ่ที่ปล่อยลูกหมูให้ เพราะตัวเองมีปริมาณลูกหมูมากจนล้นฟาร์ม จึงเริ่มระบายลูกหมูส่วนเกินออกมาบ้าง ขณะเดียวกันผู้ที่เริ่มกลับมาเลี้ยง ส่วนใหญ่มีช่องทางในการหาวัคซีน และบางส่วนยอมเสี่ยงกลับมาเลี้ยง เนื่องจากเห็นว่าทิศทางราคาหมูยังไปได้ดี จึงน่าจะลองเสี่ยงดู

แต่ผู้ที่เพิ่งเริ่มเลี้ยงหมู ต้องใช้เวลาอีกกว่า 4 เดือน จึงจะจับหมูขายได้ ดังนั้นจึงต้องบอกว่ารายใหญ่กุมสภาพตลาดเนื้อหมูในประเทศไว้หมด รายใหญ่เป็นคนควบคุมราคาหมู เพราะไม่มีรายย่อย-รายเล็กมาคานอำนาจ จึงปรับราคาขึ้นตามอำเภอใจ เนื่องจากมีหมูเป็นๆกันเพียงไม่กี่รายใหญ่ๆ ส่วนหมูจากต่างประเทศก็ลักลอบนำเข้ามาไม่ได้ เพราะเสี่ยงต่อการถูกเจ้าหน้าที่รัฐตรวจค้นจับกุม เอาเนื้อหมูไปฝังกลบอย่างเข้มงวดมาก จึงไม่มีใครกล้าเสี่ยงลักลอบนำเข้าเนื้อหมู แม้ว่าในราคาระดับนี้ ถ้านำเข้าเนื้อหมูเข้ามาก็ยังพอมีกำไร

สภาพในปัจจุบันคือรายใหญ่เป็นผู้กำหนด ส่วนเขียงหมู-แผงหมูตายอย่างเดียว เพราะหมูในห้างฯขายถูกกว่า วันนี้ร้านหมูกระทะ ร้านชาบู และประชาชนทั่วไปเริ่มบ่นแล้วว่าหมูแพง และไม่ค่อยมีขาย แถมสภาพเศรษฐกิจแบบนี้แผงขายจึงปิดกันเยอะ โดยปกติหมูจะขายดีช่วงเทศกาลปีใหม่-สงกรานต์ แต่สงกรานต์ที่ผ่านมาก็ย่ำแย่ จากปัญหาเรื่องเศรษฐกิจ คนไม่มีกำลังซื้อ และหมูกลับมาแพงอีก


“รัฐบาลจะปล่อยให้สภาพแบบนี้เดินไปเรื่อยๆ ในกำมือของรายใหญ่คุมตลาดไว้ทั้งหมดหรือ? รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องทำอะไรบ้าง เพื่อให้ประชาชนได้รับผลกระทบน้อยที่สุด ส่วนตัวอยากเสนอให้รัฐบาล 1.ส่งเสริมสนับสนุนรายย่อย-รายเล็กให้มากกว่านี้ 2.นำเข้าหมูจากต่างประเทศ เข้ามาแค่ช่วงระยะเวลาหนึ่ง 3.ส่งเสริมการวิจัยพัฒนาวัคซีน ถ้ารัฐบาลไม่ทำอะไรเลย ตลาดเนื้อหมูจะเป็นระบบของการผูกขาดแน่นอน” เสี่ยตู่ กล่าว