เมื่อวันที่ 4 พ.ค. นายกิตติพงศ์ กิตติขจร ผู้อำนวยการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (ทอท.) พร้อมด้วย พ.ต.อ.จิรวัฒน์ เปี่ยมปิ่นเศรษฐ ผกก.สภ.ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ แถลงชี้แจงข้อเท็จจริง กรณีมีผู้บุกรุกเข้าพื้นที่ ‘เขตการบิน’ วันที่ 3 พ.ค.ที่ผ่านมา

นายกิตติพงศ์ กล่าวว่า จากเหตุการณ์ เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ได้ปฏิบัติหน้าที่เข้าระงับเหตุได้อย่างทันท่วงที และเป็นไปตามขั้นตอน ทั้งนี้ เนื่องจากผู้ก่อเหตุมีอาวุธ จึงทำให้ผู้ก่อเหตุและเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย ทั้งนี้ผู้ก่อเหตุนอกจากจะถูกดำเนินคดีในข้อหาบุกรุกเข้าไปในเขตพื้นที่หวงห้ามภายในท่าอากาศยานแล้ว จะต้องถูกดำเนินคดีจากข้อหากระทำความผิดต่อพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดบางประการต่อการเดินอากาศ พ.ศ. 2558 ตามมาตรา 19  ด้วยข้อหาใช้อาวุธหรือวัสดุอื่นใดกระทำการอันอาจ เป็นอันตรายหรือน่าจะเป็นอันตราย ต่อความปลอดภัยของท่าอากาศยานบุกรุก ซึ่งมีระวางโทษหนักอาจถึงประหารชีวิตหรือจำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุกตั้งแต่สิบห้าปีถึงยี่สิบปี และปรับตั้งแต่ 6 แสนบาท ถึง 8 แสนบาท

นอกจากนี้ยังมีความผิดในการทำลายทรัพย์สินของท่าอากาศยานจนได้รับความเสียหาย รวมทั้งมีความผิดเนื่องจากเสพ และมียาเสพติดไว้ในครอบครองโดยผิดกฎหมายอีกด้วย ซึ่งจากเหตุการณ์ในครั้งนี้ ส่งผลให้มีทรัพย์สินส่วนหนึ่งของท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ได้รับความเสียหาย โดยตรวจพบประตูกระจกตรงช่องทางเข้าอาคารเทียบเครื่องบิน แตกเสียหายจำนวน 2 บาน เนื่องจากผู้บุกรุกได้ใช้อาวุธทุบประตูกระจก เพื่อพยายามหลบหนีเข้าไปในอาคาร แต่ถูกเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยสกัดจับได้เสียก่อน โดยท่าอากาศสุวรรณภูมิ ปฏิบัติตามขั้นตอนด้านการรักษาความปลอดภัย โดยคำนึงถึงความปลอดภัยของเจ้าหน้าที่ และผู้โดยสารเป็นสำคัญ

ด้าน พ.ต.อ.จิรวัฒน์ กล่าวว่า วันนี้เจ้าตัวเริ่มมีสติกลับมามากแล้ว จนสามารถเล่าเหตุการณ์และจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ จากการสอบสวนเบื้องต้น ผู้ก่อเหตุยอมรับว่าลงมือทำไปจริง เพราะว่าก่อนหน้านี้ช่วงกลางคืนตนเองไปซื้อยาบ้ามาสิบเม็ด และเสพติดต่อกันไปถึงแปดเม็ด จนกระทั่งเลิกงานกลับถึงห้อง พอนอนก็ได้ยินเสียงมีคนบอกให้ไปปล้นเครื่องบิน จึงเอาปืนปลอมที่สั่งซื้อในลาซาด้า พกติดตัวออกมา ส่วนขวานเหน็บติดรถไว้อยู่แล้ว จากนั้นก็ขี่ออกมาที่สนามบิน ตั้งใจขึ้นไปที่อาคารผู้โดยสารแต่ขี่หลงไปทางดังกล่าว ตอนนั้นในหูได้ยินแต่เสียงคนบอกให้ไปอย่างเดียว

เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ได้แจ้งข้อกล่าวหาว่า มีความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยความผิดบางประการต่อการเดินอากาศ พ.ศ. 2558 มามาตรา 19  ข้อหาที่ 1 ผู้ใดใช้อาวุธหรือวัสดุอื่นใด กระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดดังต่อไปนี้ ถ้าการกระทำนั้น เป็นอันตรายหรือน่าจะเป็นอันตรายต่อความปลอดภัยของท่าอากาศยาน ผู้กระทำต้องระวางโทษประหารชีวิต จำคุกตลอดชีวิต หรือจำคุกตั้งแต่ 15-20 ปี และปรับตั้งแต่ 600,000-800,000 บาท ข้อหาที่ 2 ข้อหาบุกรุก เป็นผู้ใดไม่มีเหตุอันสมควรหรือในครอบครองของผู้อื่นโดยใช้กำลังประทุษร้าย หรือบังคับขู่เข็ญ ข้อหาที่ 3 เป็นทำให้เสียทรัพย์ ข้อหาที่ 4 พกพาอาวุธขวานไปในเมืองหมู่บ้านและทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันสมควร ข้อหา 5 มียาเสพติดให้โทษประเภทที่ 1 ยาบ้า ไว้ในความครอบครองโดยผิดกฎหมาย ข้อหาที่ 6 เสพยาเสพติดให้โทษประเภทที่ 1 ยาบ้า และข้อหาที่ 7 ทำให้ผู้อื่นเกิดความกลัวหรือความตกใจโดยการขู่เข็ญว่าจะใช้กำลังประทุษร้าย ก่อนควบคุมตัวไว้เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป