เมื่อเวลา 18.00 น. วันที่ 13 พ.ค. ที่ ลานคนเมือง ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร เสาชิงช้า นายสกลธี ภัททิยกุล ผู้สมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. หมายเลข 3 ได้มีการจัดปราศรัยใหญ่ครั้งแรก เนื่องจากเข้าสู่ช่วงโค้งสุดท้ายของการหาเสียงเหลือเวลาอีกเพียง 9 วัน ที่คนกรุงเทพฯจะได้ไปลงคะแนนเสียงเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. ในรอบ 9 ปี

สำหรับการปราศรัยเริ่มต้นด้วยการกล่าวเปิดของพิธีกรซึ่งดำเนินการปราศรัยโดย นายกิตติ เชี่ยววงศ์กุล หรือ เกลือเป็นต่อ นักแสดงเจ้าบทบาทและพิธีกรชื่อดัง จากนั้นจึงเริ่มการเปิด VTR แนะนำตัวทีมงานสกลธี ที่จะมาร่วมช่วยงานในด้านต่างๆ ประกอบด้วย ดร.จิรวัฒน์ ตั้งปณิธานนท์ ทีมที่ปรึกษาด้านไอทีและดิจิทัล, นายฝันดี จรรยาธนากร ทีมที่ปรึกษาด้านป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย, ดร.นริศรา ลิ้มธนากุล ทีมที่ปรึกษาด้านการจราจรและขนส่งสาธารณะ, นายกฤษณะ แก้วธำรงค์  ทีมที่ปรึกษาด้านการท่องเที่ยว, นายเจตน์ โศภิษฐ์พงศธร ทีมที่ปรึกษาด้านสิ่งแวดล้อมศิลปะและวัฒนธรรม ซึ่งเคยเป็นอดีตโฆษกและที่ปรึกษาผู้ว่าฯกทม. ในสมัย ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร และณัฐรดา เลขะธนชลท์ ทีมที่ปรึกษาด้านการศึกษา ท่ามกลางบรรยากาศของคนกรุงเทพฯ ที่มาร่วมรับฟังนโยบายอย่างคึกคัก

ต่อมาเวลา 19.25 น. นายสกลธี ภัททิยกุล ขึ้นเวทีปราศรัย กล่าวกับเหล่าบรรดาแฟนคลับที่มาปักหลักติดตามปราศรัยใหญ่ครั้งแรก ว่า ครั้งนี้มีความสำคัญ เนื่องจากเป็นการเลือกตั้งครั้งแรกในรอบ 9 ปี พร้อมทั้งได้เน้นย้ำให้ความมั่นใจกับคน กทม. ถึงจุดแข็งในการทำงานของตนเองว่า ตนเป็นคนที่ได้เห็นปัญหาของกรุงเทพฯ มาโดยตลอด และเมื่อมีโอกาสได้เข้าไปเป็นรองผู้ว่าฯ ก็ได้ทำงานในหน้าที่อย่างเต็มที่ เช่น เรื่องของการจับมอเตอร์ไซค์วิ่งทางเท้า ซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญในความปลอดภัยของผู้ใช้ทางเท้า ก็สามารถกวดขัน จับ ปรับ ได้ถึงปีละ 15 ล้านบาท รวมทั้งยังเห็นถึงปัญหาของ กทม. อีกหลายอย่าง ซึ่งเป็นจุดอ่อนในการทำงานของกรุงเทพฯ ไม่ว่าจะเป็นข้อบัญญัติต่างๆที่มีความล้าหลัง การพัฒนาระบบสาธารณูปโภคไฟฟ้า-ประปา แต่ก่อนหน้านี้ไม่สามารถที่จะแก้ปัญหาได้ เนื่องจากอำนาจของรองผู้ว่าฯ ที่มีอยู่อย่างจำกัด หลายอย่างนำเสนอไปก็ไม่ได้รับการตอบสนอง และทั้งหมดคือเหตุผลที่ทำให้อยากจะเข้าทำงานในฐานะผู้ว่าฯ เพื่อทำให้กรุงเทพฯ ดีขึ้นอย่างที่อยากให้เป็น และนโยบายต่างๆที่นำเสนอนั้นสามารถทำได้จริงไม่เพ้อฝัน

นายสกลธี กล่าวอีกว่า สาเหตุที่ต้องเลือกตนให้เป็นผู้ว่าฯกทม. เนื่องด้วยเป็นคนในวัย 44 ปี เป็นวัยที่มีไฟอย่างเต็มที่อีกทั้งในฐานะ 16 ปีที่อยู่ในกับการเมือง 4 ปีกับการเป็น ส.ส. และ 4 ปีกับการเป็นรองผู้ว่าฯกทม. ทำให้ตนได้รู้ว่าจะต้องทำงานอย่างไร

สำหรับสาเหตุที่เลือกสถานที่แห่งนี้เป็นที่ปราศรัยใหญ่นั้น นายสกลธี กล่าวว่า ขอให้ทุกท่านหันหลังไป นั่นคือศาลาว่าการกรุงเทพฯ ขอให้เลือกตนกลับไปที่นั่น (ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร) ในฐานะผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร คนที่ 17

ด้าน พล.ต.นพ.เหรียญทอง แน่นหนา ผอ.โรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ กล่าวว่า สกลธีคือเพื่อนร่วมรบของตน ตั้งแต่วันที่สู้เพื่อบ้านเมือง สกลธีอยู่ด้วยตลอดมา ผ่านช่วงคุกตารางมาด้วยกัน แม้จะไม่ได้สนิทเป็นการส่วนตัว แต่เห็นทำงานเพื่อกรุงเทพฯมาแล้ว ฉะนั้นแล้วหลังจากนี้มั่นใจว่าสกลธีและทีมงานจะทำงานต่อได้ เพราะจะมีแนวร่วมที่มีศักยภาพจากภาคประชาชน ตนคอยสนับสนุน และหลังจากนี้ถ้าสกลธีได้เป็นผู้ว่าฯกทม. ตนจะสนับสนุนในทุกอย่างที่ต้องการ

พล.ต.นพ.เหรียญทอง กล่าวอีกว่า ไม่ขอทิ้งเพื่อนที่ร่วมทุกข์ ในยามยากฉันใดไม่เคยทิ้งสักคนฉันนั้น วันนี้ไม่ขอพูดว่าผู้สมัครคนไหนที่เลวร้ายแต่จะขอพูดว่าต้องเลือกคนที่ดีที่สุด ไม่จำเป็นว่าจะต้องเป็นคนหนุ่มแต่ต้องเป็นคนที่มีเจตนารมณ์ที่ชัดเจน มีความรู้ความสามารถไม่เพ้อเจ้อ และเชื่อว่าสกลธีจะเป็นคนที่สามารถเชื่อมต่อความขัดแย้งทางการเมืองได้ แม้จะมีอุดมการณ์ชัดเจนในการปกป้องสถาบัน เพราะเป็นคนที่ไม่มีอคติ แต่มีความคิดเห็นที่จะพัฒนาชุมชนเมือง

นอกจากนี้ยังมีการปรากฏตัว ขึ้นเวทีปราศรัยของแอดมินเพจเชียร์ลุง สร้างความเซอร์ไพรส์ให้กับผู้เข้าร่วมงานเป็นอย่างมาก เนื่องจากในการปราศรัยบางช่วงบางตอนมีการสนับสนุนให้คนกรุงเทพฯ เลือกนายสกลธี ภัททิยกุลหมายเลข 3 ถึงแม้ว่าจะมีผู้ท้าชิงอีกหลายเบอร์ ที่มาจากฐานเสียงเดียวกันก็ตาม โดยกล่าวไปถึงการทำงานของนายสกลธีสมัยที่ดำรงตำแหน่งรองผู้ว่าฯกทม. อีกทั้งการคิดนโยบายหาเงินให้กทม. ซึ่งก่อนที่จะตัดสินใจลงคะแนนเสียงให้สกลธีนั้น แอดมินเพจเชียร์ลุงได้กล่าวว่า เนื่องจากได้ดูรายการสัมภาษณ์ตัวแทนกลุ่มหาบเร่แผงลอยที่เคยระบุว่าเวลาที่มีปัญหาติดต่อ สกลธี ได้เพียงคนเดียว รวมถึงช่วงวัยอยู่ระหว่างรอยต่อคนรุ่นเก่าและใหม่ จึงเป็นสิ่งดีที่จะนำเทคโนโลยีมาประยุกต์เพื่อแก้ปัญหาที่เกิดมานานแล้ว เรื่องนโยบายจัดการงบประมาณมองว่าจะเกิดประโยชน์กับคนกรุงเทพอย่างแน่นอน

ภายหลังจบการปราศรัย นายสกลธี ได้ให้สัมภาษณ์สื่อว่า วันนี้ดีใจที่คนมากันเยอะ และได้เปิดตัวทีมงานของตัวเองซึ่งทีมงานที่ได้เปิดตัวไปก็จะมาเป็นผู้ช่วยงาน และที่ปรึกษาในด้านต่างๆ หรือบางท่านอาจมาเป็นรองผู้ว่าฯกทม. ก็จะต้องนำมาพิจารณาดูในภาพรวมอีกครั้ง และการที่ตนลงอิสระนั้น ก็ทำให้ไม่ต้องเป็นหนี้ใครและไม่ต้องตอบแทนใครส่วนในวันที่ 20 พ.ค.ก็จะมีการเปิดตัวทีมงานเพื่อนธีเพิ่มเติม และขอยืนยันว่าในวันดังกล่าวจะไม่มีคุณสุเทพ เทือกสุบรรณ มาปรากฏตัว เนื่องจากคุณสุเทพมีเพียงการโทรศัพท์มาให้กำลังใจเท่านั้น

สำหรับกรณีผลโพลต่างๆที่ออกมา เสียกำลังใจหรือไม่ นายสกลธี กล่าวว่า ไม่กังวลใจเรื่องผลโพล เพราะอยู่วงการการเมืองมา 16 ปี ผลโพลก็มีทั้งไม่จริงบ้าง หักปากกาบ้าง รวมไปถึงโพลเพื่อยุทธศาสตร์บ้าง ดังนั้นจึงไม่นำมาคิดให้รำคาญใจ ดูเป็นหลักเพียงเท่านั้น ส่วนกระแสหลังจากที่คุณสุเทพออกตัวสนับสนุนนั้น มันก็มีทั้งบวกและลบ ทุกด้านมีสองด้านเสมอไม่ว่าจะเป็นใครก็ตาม มีทั้งคนชอบและไม่ชอบอยู่แล้ว ใครเชียร์ก็ดีใจทั้งนั้น

ส่วนกรณีการโหวตเชิงยุทธศาสตร์ที่มีกระแสแคมเปญให้เทคะแนนเสียงมาที่ตน มองอย่างไร นายสกลธี กล่าวว่า มันเกิดขึ้นได้ เพราะปกติการเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.ทุกครั้ง จะมีแค่ซ้ายและขวา แต่ในปัจจุบันนี้ทั้งซ้ายและขวามีถึงฝ่ายละ3-4 คน ดังนั้นในการแชร์คะแนนของฐานแฟนคลับมันก็เกิดขึ้นได้แน่นอน อยู่ที่ว่าใครจะดึงได้มากน้อยแค่ไหนก็ตามซึ่งตนคงไม่ไปบอกให้คนกรุงเทพฯเลือกใครก็ตาม เพราะคนกรุงเทพฯมีวิธีการเลือกของเขาอยู่แล้ว

นายสกลธี ยังกล่าวถึงเรื่องการดิสเครดิตในช่วงโค้งสุดท้ายว่า มันก็มีอยู่แล้ว อย่างเรื่องการการทำลายป้ายหาเสียงการนำป้ายหาเสียงไปซ่อน หรือว่าการปล่อยข่าวมันมีอยู่แล้ว แต่เพียงว่าตนอยู่ในวงการการเมืองมา 16 ปี จึงค่อนข้างมั่นใจว่าไม่มีเรื่องเสื่อมเสียใดๆ ส่วนถ้าเรื่องดิสเครดิตก็คงจะมีอยู่เรื่องเดียวคือเรื่องที่ตนเคยออกไปเป็นแกนนำกปปส. ซึ่งตนก็ได้กล่าวไปบนเวทีแล้วว่าไม่ได้ซีเรียสเรื่องนั้น ก็ภูมิใจและยอมรับในส่วนนั้น แน่นอนว่าถ้าหากย้อนเวลากลับไปก็จะเคลื่อนไหวอย่างเดิม เพราะมันเป็นอุดมการณ์และความคิดของตนรวมกับคนอีกหลายล้านคนในช่วงนั้น ดังนั้น ถ้าย้อนกลับไปได้ ก็ทำเหมือนเดิม ไม่มีเปลี่ยนความคิด

ส่วนการหาเสียงหลังจากนี้ก็ยังยืนยันว่าจะลงหาเสียงในตลาดเช้าเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือนำเสนอคลิปวิดีโอสั้นๆผ่านทางช่องทางออนไลน์ ส่วนเวทีดีเบตใดถ้าหากว่าตนไม่ได้ติดธุระก็จะไปร่วมในทุกเวทีให้ได้

ส่วนแนวทางในการเจาะกลุ่มฐานเสียงสวิงโหวตในช่วงโค้งสุดท้ายนั้น นายสกลธี กล่าวว่า ตนไม่ทราบว่าคนกรุงเทพฯจะเลือกอย่างไร ซึ่งจากการเลือกตั้งที่ผ่านมาไม่ว่าจะเป็นการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้เเทนราษฎร ก็จะมีการพลิกผันอยู่เสมอ ดังนั้น สิ่งที่จะทำก็คือจะเดินหน้านำเสนอว่าตัวเองนั้นสามารถทำอะไรในฐานะผู้ว่าราชการกรุงเทพได้บ้าง ก็จะพยายามนำเสนอว่าผู้ว่าฯกทม.จะต้องหาเงินได้และใช้เงินเป็น ตนจึงคิดว่านี่เป็นจุดขายที่ดีของตัวเอง

ส่วนกรณีที่ไม่มีการส่ง ส.ก. จะหาฐานเสียงตรงนี้อย่างไร นายสกลธี กล่าวว่า ตนไม่กังวล เพราะ ส.ก. ก็เป็นเหมือนฝ่ายตรวจสอบ ถ้าหากเราได้ ส.ก.ที่ไม่ได้มาจากทีมตัวเองจะเป็นเรื่องดีสำหรับคนกรุงเทพฯ ส่วนการทำงานที่หลายคนมองว่า การไม่มี ส.ก.จะทำงานอย่างไรนั้น ตนมองว่าถ้าหากทำงานด้วยหลักโปร่งใสและเพื่อผลประโยชน์ของคนกรุงเทพฯจริงๆ ไม่มี ส.ก.คนใดที่จะมาค้านแน่นอน ดังนั้น ส.ก.ที่คอยมาดูและตรวจสอบให้คนกรุงเทพฯ ถ้าไม่ใช่ทีมจากตนเองจะดีต่อคนกรุงเทพฯเป็นอย่างมาก แต่กลับกันถ้าหากได้ส.ก.ที่เป็นทีมเดียวกันพรรคเดียวกัน มันจะตรวจสอบคานกันอย่างไร

ส่วนกรณีที่เคยสังกัดพรรคประชาธิปัตย์มาก่อน และทางพรรคพลังประชารัฐก็มีการเคลื่อนไหวสนับสนุนบ้าง คาดหวังทีม ส.ก. จากทั้ง 2 พรรคหรือไม่ นายสกลธี กล่าวว่า ตนมีความชัดเจนอย่างหนึ่งคือ ตนอิสระจริง และไม่ใช่อิสระแบบแกล้งอิสระ แต่ก็ยอมรับว่าคนที่เคยรู้จัก ไม่เฉพาะพรรคพลังประชารัฐ ก็มีคนที่ลงอิสระแบบอื่น ที่เป็น ส.ก. หรือว่าพรรคอื่นที่ไม่ใช่พรรคพลังประชารัฐ เริ่มมีการพูดคุยว่าอยากจะมาเปิดตัวร่วมกับตนเอง ซึ่งกำลังอยู่ในขั้นตอนของการพูดคุยกัน ส่วนเรื่องของการเปิดตัว ส.ก. ก็กำลังดู เพราะว่าบางท่านก็ยังอยู่ในนามพรรค ก็อาจจะมีคนถอดเสื้อพรรคมาอยู่กับสกลธีอะไรเช่นนี้

นายสกลธี ยังกล่าวถึงกำหนดการเบื้องต้นของวันที่ 22 พ.ค.65 ว่า ตนจะไปลงคะแนนเสียงที่หน่วยการทางพิเศษแห่งประเทศไทย หน้าซอยพหลโยธิน 44 ตั้งใจจะไปประมาณ 09:00 น. ส่วนหลังเวลา 18:00 น. หลังปิดหีบ ก็จะเข้าไปฟังผลคะแนนเสียงที่ศูนย์ของตนเองที่อยู่ตรงรัชวิภา

ส่วนกรณีที่กล่าวว่าตัวเองมีความเป็นประชาธิปัตย์มากกว่าบางคนนั้น นายสกลธีกล่าวว่า ที่กล่าวไปแบบนั้น เพราะว่าเคยอยู่กับพรรคประชาธิปัตย์มา 12 ปี ซึ่ง ความผูกพันมันมีอยู่แล้ว และพรรคประชาธิปัตย์ก็เป็นพรรคที่ให้โอกาสทางการเมืองกับตนเอง ดังนั้นออกมาด้วยดี ความผูกพันจึงมีอยู่แล้ว

ส่วนกรณีที่ราชกิจจานุเบกษาได้มีการเผยแพร่ประกาศของกรุงเทพมหานคร ในเรื่องการยกเลิกจุดผ่อนผันหาบเร่แผงลอย หากได้ไปเป็นผู้ว่าฯกทม. จะดำเนินการอย่างไรนั้น นายสกลธี กล่าวว่า อันนี้เป็นการยกเลิกของเก่าของเดิมตั้งแต่สมัยพลตรีจำลอง ศรีเมือง ซึ่งมีจำนวนรวม 683 จุด และในกรณีนี้ ทางตำรวจนครบาลเขาไม่เห็นชอบให้มีเลยดังนั้นต้องยกเลิกใหม่หมดแต่ว่าตอนที่ตนอยู่นั้น ได้ทำกฎหมายระเบียบมาตัวนึง ได้ตั้งจุดใหม่ขึ้นมา ซึ่งก่อนออกมาตนก็ได้ตั้งเพิ่มไป 100 กว่าจุด ซึ่งก็จะทยอยตั้งเพิ่มเติมให้มันมากขึ้น เพราะตนคิดว่าตอนนี้มันต้องสมดุลกันระหว่างคนเดินทางเท้าและคนที่ยากจนและอยากกลับมาประกอบอาชีพหลังโควิด-19 ก็คงจะมีการพิจารณาจุดที่ไม่เดือดร้อนกับคนที่เดินทางเท้า และไม่เดือดร้อนกับการจราจรเพิ่มเติม

นอกจากนี้ หลังจบการปราศรัยใหญ่ครั้งแรกของนายสกลธีนั้น นายณัฏฐพล ทีปสุวรรณ อดีต รมว.ศึกษาธิการ และ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) ที่เดินทางมาร่วมงานได้ให้สัมภาษณ์ว่า ตนได้สังเกตเห็นบรรยากาศการลงพื้นที่หาเสียงของผู้ลงสมัครผู้ว่าฯกทม.ทุกคนรวมทั้งได้เห็นความตั้งใจของทีมงานของสกลธี จึงเชื่อว่าเป็นโอกาสดีที่กรุงเทพฯจะได้มีผู้ว่าฯที่มีความสามารถ แต่ส่วนที่คนกรุงเทพฯจะเลือกใครก็เป็นวิจารณญาณของแต่ละคน ส่วนตนเองไม่ว่าจะชอบหรือเชียร์ใครก็ไม่สามารถเลือกได้แล้วเพราะถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง จึงขอให้เป็นหน้าที่ของคนกรุงเทพฯทำหน้าที่นี้แทน

ทั้งนี้ ตลอดทั้งงานปราศรัย ทางผู้จัดงานของนายสกลธีได้มีการจัดเตรียมเครื่องวัดอุณหภูมิ จุดให้บริการตรวจหาเชื้อโควิด-19 และจุดตรวจอาวุธ ให้แก่ประชาชนที่เข้าร่วมงาน  รวมถึงจุดลงทะเบียนสื่อมวลชน