เมื่อวันที่ 17 พ.ค. ที่ กองบังคับการป้องกันปราบปรามการทุจริตและประพฤติมิชอบ (บก.ปปป.) นายพงศกร จันทร์แก้ว หรือ อดีตพระกาโตะ นักเทศน์ชื่อดังที่ตกเป็นข่าวฉาวมีความสัมพันธ์กับสีกาตอง เข้าพบ พล.ต.ต.ศิร์ธัชเขต ครูวัฒนเศรษฐ์ รอง ผบช.ก. พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว ผบก.ปปป. และ คณะพนักงานสอบสวนตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) เพื่อเข้ารับทราบข้อกล่าวหา ยักยอกทรัพย์ กรณีเบิกถอนเงินวัดเพ็ญญาติ จ.นครศรีธรรมราช มาให้สีกาตอง และ พระคนกลาง ปกปิดข่าวฉาวที่เกิดขึ้น

เช็กเส้นทางเงิน! ปปป.บุกวัดบุปผาราม เจอปม ‘สมีกาโตะ’ เบิกมากกว่า6แสน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เนื่องจากตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) นำโดย บก.ปปป. และ บก.ป. ตรวจสอบข้อเท็จจริงพบว่า สถานะตำแหน่งรักษาการเจ้าอาวาสวัดเพ็ญญาติหลังหลวงพ่อกล่อม เจ้าอาวาสรูปก่อน ซึ่งเป็นพระอาจารย์ของอดีตพระกาโตะ ได้มรณภาพเมื่อปี 2564 หลวงพ่อกล่อม ได้ฝากให้พระราชวรญาณ เจ้าอาวาสวัดบุปผาราม กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นเครือญาติกันเป็นผู้ดูแลวัดต่อ โดยเจ้าคณะตำบล ได้แต่งตั้งพระราชวรญาณ เป็นผู้รักษาการแทนเจ้าอาวาสวัดอย่างถูกต้องตามขั้นตอน แต่เนื่องจากอุปสรรคเรื่องระยะทางไกล ลำบากในการดูแลวัด พระราชวรญาณจึงมอบหมายให้อดีตพระกาโตะ ช่วยดูแลจัดการเรื่องวัดในตำแหน่งรักษาการเจ้าอาวาสแทน โดยไม่ปรากฏว่ามีการแต่งตั้งเป็นหนังสือหรือเป็นลายลักษณ์อักษรอย่างเป็นทางการ เชื่อว่าเป็นเพียงการมอบหมายหน้าที่ด้วยทางวาจา จึงมีความเป็นไปได้ว่า อดีตพระกาโตะ อาจไม่ใช่เจ้าพนักงานตามกฎหมาย พ.ร.บ.สงฆ์ และอาจไม่มีความผิดในฐานะเป็นเจ้าพนักงานทุจริตเงินวัด ตาม ป.อาญา มาตรา 147 แต่อาจเข้าข่ายเป็นความผิดฐานยักยอกเงินวัด ตาม ป.อาญา มาตรา 352 แทน

ภายหลังพระราชวรญาณในฐานะรักษาการเจ้าอาวาสวัดเพ็ญญาติที่แท้จริงรู้เรื่องที่เกิดขึ้น ที่สร้างความเสียหายกับทางวัด จึงแจ้งความร้องทุกข์ต่อ ผบก.ปปป. ให้สอบสวนดำเนินคดีกับอดีตพระกาโตะ และผู้ที่เกี่ยวข้องในข้อหายักยอกทรัพย์หรือความผิดอื่นที่เกี่ยวข้องตามกฎหมาย นอกจากนี้ในส่วนผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการรับเงินที่อดีตพระกาโตะ ยักยอกจากวัดนั้น อาจมีความผิดฐานรับของโจร ทั้งสีกาตองและคนกลางหรือพระดอน ผู้รับเงินดังกล่าวที่อ้างว่าจะนำไปเคลียร์สื่อ ส่วนของสีกาตองนั้น หากพบว่ามีพฤติการณ์เป็นไปในลักษณะข่มขู่เพื่อเรียกร้องเงินแลกกับการปกปิดความลับหรือแบล็กเมล์จริงนั้น ก็อาจเข้าข่ายเป็นการรีดเอาทรัพย์ผู้อื่น ซึ่งมีอดีตพระกาโตะ ในฐานะเป็นผู้เสียหาย ย่อมสามารถใช้สิทธิเข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อพนักงานสอบสวนได้เช่นกัน เพื่อความเป็นธรรมกับทั้งสองฝ่าย

สำหรับการตรวจสอบเรื่องเงินนั้น เบื้องต้นพบข้อมูลว่าผู้ที่มีอำนาจลงนามเบิกถอนเงินบัญชีวัดมี 3 คน คือ 1.อดีตพระกาโตะ 2.ช่างบ่าว หรือนายสันติ จงราช (กรรมการวัด) และ 3.นายจุน (นามสมมุติ) กรรมการวัด อีก 1 คน ซึ่งขั้นตอนการเบิกถอนเงินแต่ละครั้ง จะต้องมีการลงนาม 2 ใน 3 คน จึงจะสามารถเบิกเงินจากบัญชีได้

จากการตรวจสอบพบว่า การถอนเงินส่วนใหญ่ที่ผ่านมา จะมีเฉพาะอดีตพระกาโตะ กับ นายสันติ หรือช่างบ่าว เพียง 2 คนเท่านั้น ที่ลงนามเบิกเงินวัดมาโดยตลอด และตามที่มีข่าวว่า อดีตพระกาโตะได้เบิกเงินจากบัญชีวัด 6 แสนบาทไปให้สีกาตองและพระคนกลางนั้น เมื่อตรวจสอบเส้นทางการเงินพบว่า เมื่อวันที่ 18 เม.ย. มีการเบิกเงิน 6 แสนบาทจริง ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลตามข่าวและคำยอมรับของพระกาโตะและสีกาตอง ที่ให้สัมกาษณ์กับสื่อก่อนหน้านี้

จากข้อมูลพบว่า เงิน 6 แสนบาทดังกล่าว แจกแจงแบ่งเป็นเงินสดให้อดีตพระกาโตะ 3 แสนบาท เพื่อนำไปจ่ายให้สีกาตอง ส่วนที่เหลืออีก 3 แสนบาท ได้เข้าบัญชีของนายสันติ หรือช่างบ่าว เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายวัด 2 แสนบาท และโอนเข้าบัญชีส่วนตัวของพระกาโตะ 1 แสนบาท ซึ่ง 3 แสนบาท พบว่ายังไม่ได้มอบให้พระคนกลางตามที่เป็นข่าวแต่อย่างใด และเมื่อสืบสวนขยายผลพบว่า นอกจากเงิน 6 แสนที่เบิกถอนตอนแรก อดีตพระกาโตะ กับนายสันติ ยังมีการเบิกถอนเงินเพิ่มเติมอีก 2 ครั้ง คือในวันที่ 25 เม.ย. 5 แสนบาท และเบิกเงินในวันที่ 27 เม.ย.อีก 1 แสนบาท รวมเป็นเงินที่เบิกถอนมาทั้งหมด 1.2 ล้านบาท โดยส่วนเงิน 5 แสนบาท ได้โอนเข้าบัญชีนายสันติ จากนั้นนายสันติ โอนเงิน 3 แสนบาทต่อให้พระดอน ซึ่งเชื่อว่าเงิน 3 แสนดังกล่าว น่าจะเป็นเงินที่อดีตพระกาโตะให้พระดอนนำไปเคลียร์สื่อ และที่เหลืออีก 3 แสน นายสันติ โอนให้พระดอนทั้งหมด

ภายหลังพบว่า พระดอน ที่มีหมายจับติดตัวหลายคดีได้หายตัวไปก่อนหน้านี้ ได้นำเงินมาคืนให้กับผู้เสียหายในคดีเช็คเด้ง ที่ สภ.เมืองนครศรีธรรมราช เมื่อวันที่ 7 พ.ค. และผู้เสียหายถอนคำร้องทุกข์ไม่ติดใจเอาความ จึงเป็นที่น่าสงสัยว่า พระดอนอาจนำเงินที่ได้รับโอนจากอดีตพระกาโตะและนายสันติ มาจ่ายให้กับผู้เสียหายคดีเช็กดังกล่าวหรือไม่ หลังจากนี้ทางตำรวจสอบสวนกลาง โดย บก.ปปป.จะทำการเรียกตัวพระกาโตะ, สีกาตอง, นายสันติ และ พระดอน มาชี้แจงข้อเท็จจริงเรื่องที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเงินของวัดดังกล่าว หากสอบสวนพบว่ามีส่วนรู้เห็นในการกระทำผิดต้องดำเนินการตามกฎหมาย และตรวจสอบการเปิดบัญชีวัดว่ามีรายละเอียด และเงื่อนไขวัตถุประสงค์อย่างไร และตรวจสอบการเบิกเงินในบัญชีวัดย้อนหลังว่ามีการเบิกใช้จ่ายเงินอย่างถูกต้องเป็นไปตามวัตถุประสงค์ของวัดหรือไม่ หรือทุจริตเงินวัดไปใช้จ่ายส่วนตัวอย่างอื่นอีกหรือไม่