เมื่อวันที่ 18 พ.ค. จากกรณี น.ส.วิราวรรณ ชวดพงษ์ อายุ 40 ปี ชาว​ จ.สมุทรสาคร ร้องเรียนผู้สื่อข่าวกรณีโอนเงินร่วม 3 แสนบาท ผิดบัญชี เงินไปเข้าบัญชีของ น.ส.เสาวนีย์ หญิงสาวชาว​ จ.บุรีรัมย์ และต้องลำบากเพราะติดต่อประสานงานกับเจ้าหน้าที่ สุดท้ายได้แค่รับเรื่องไม่มีการอายัดเงินไว้ให้ได้ จนต้องวิ่งหาสืบสวนข้อมูลเองจนได้เงินกลับคืนมา 160,000 บาท ที่เหลือสาวเจ้าของบัญชีปลายทางบอก “หมดแล้วยอมติดคุก” และต่อมาผู้สื่อข่าวมีการเดินทางไปตรวจสอบที่บ้านของ​ น.ส.เสาวนีย์ พบว่าปิดเงียบโดยสามีอ้างว่านางเสาวนีย์ย้ายหนีไปอยู่ในเมืองแล้ว ตามที่ได้เสนอข่าวไปแล้วนั้น

ผัวสาวใช้เงินโอนผิดบัญชีปิดบ้านหนี บอกเมียไม่อยู่หนีไปในเมืองแล้ว

เหตุการณ์ดังกล่าวประชาชนทั่วไปต่างให้ความสนใจเป็นจำนวนมาก มีการตั้งข้อสังเกตทั้งคนที่โอนผิดว่าหละหลวม คนที่รับโอนก็จงใจจะเอาเงินคนอื่น โดยเฉพาะโลกโซเชียลที่​ จ.บุรีรัมย์ และจังหวัดอื่นๆ ต่างออกมารุมประณามนางเสาวณีย์ เหมือนเป็นการกดดันให้ออกมารับผิดชอบกับการกระทำ เนื่องจากหลบหนีซ่อนตัวไม่ให้ใครพบเห็นและไม่ยอมรับผิดชอบเรื่องดังกล่าว

แฉสาวใช้เงินโอนผิดบัญชีวางแผนหางานใหม่หนีหนี้ อ้างกับหลานใช้คืนหมดแล้ว

ล่าสุดนางเสาวณีย์ ได้ออกมายอมเปิดปากทั้งน้ำตากับผู้สื่อข่าวว่า รู้สึกผิดและรู้สึกเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ยอมรับผิดทุกกรณี และได้โทรศัพท์หาเจ้าของเงินแล้ว เบื้องต้นจะเอาทะเบียนรถจักรยานยนต์ที่ลูกสาวเอาเงิน 20,000 บาท​ ไปปิดมา เอาไปเข้าไฟแนนซ์คืน แล้วจะโอนกลับไปให้เจ้าของเงินทันที ส่วนที่เหลืออีกประมาณ 110,000 บาทเศษ จะขอทำงานผ่อนชำระให้ และอยากจะฝากถึงผู้ที่คิดจะทำแบบนี้ ให้เลิกคิด เงินของเขายังไงก็เป็นของเขา ที่ผ่านมาหลังเกิดเรื่องรู้สึกเป็นจำเลยสังคม ต้องอยู่อย่างลำบากแทบฆ่าตัวตาย

ด้าน น.ส.วิราวรรณ เจ้าของเงินที่โอนผิด กล่าวว่า วันนี้ น.ส.เสาวนีย์ ได้โทรศัพท์เข้ามาว่าขอโทษ และอยากจะขอโอกาสกลับตัว ข้อเสนอดังกล่าวที่จะโอนเงินมา 20,000 บาท และขอโทษ ตนรับขอโทษ แต่ส่วนหนึ่งก็อยากให้ได้รับผลที่กระทำไป โดยเฉพาะการพูดแบบขวานผ่าซากว่า “ใช้เงินหมดแล้ว จะยอมติดคุก” ทั้งนี้จะต้องมาเจรจาพูดกันเป็นทางการต่อหน้าตำรวจ ตอนนี้ยังไม่ได้เห็นหน้า ไม่ได้เห็นแววตากัน ว่ามีแววตาที่จริงใจในการขอโทษหรือไม่