เมื่อวันที่ 31 ก.ค. นายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม เปิดเผยว่า ได้รับรายงานเบื้องต้นว่าการให้บริการฉีดวัคซีนวิด-19 ที่ศูนย์ฉีดวัคซีนกลางบางซื่อในวันที่ 31 ก.ค.64 ค่อนข้างวิกฤติ เนื่องจากมีประชาชนมาเข้าคิวรอรับบริการฉีดวัคซีนโควิด-19 เป็นจำนวนมากตั้งแต่ช่วงเช้าก่อน 06.00 น. ทำให้หางแถวยาวมาก โดยเฉพาะประตู 3 และประตู 4 ซึ่งวันนี้นับเป็นวันสุดท้ายแล้วที่เปิดให้ประชาชนที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป, สตรีมีครรภ์ และผู้ที่มีน้ำหนักตัวเกิน 100 กิโลกรัม สามารถวอล์กอินเข้ามารับบริการฉีดวัคซีนได้ อย่างไรก็ตามตามปกติจะเคลียร์คิวในแถวได้หมดไม่เกินครึ่งวัน แต่ในวันนี้จนกระทั่งช่วงบ่ายประชาชนจำนวนมากก็ยังมารอเข้าแถวเข้ารับบริการฉีดวัคซีนอย่างต่อเนื่อง

นายศักดิ์สยาม กล่าวต่อว่า เจ้าหน้าที่ได้พยายามบริหารจัดการให้ดีที่สุด โดยเฉพาะการเว้นระยะห่าง เพื่อความปลอดภัยของทุกคน แต่เนื่องจากมีประชาชนเยอะมากจริงๆ จึงทำให้ค่อนข้างแออัด และหนาแน่น อย่างไรก็ตามมั่นใจว่าตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค.64 เป็นต้นไป การเข้ารับบริการฉัดวัคซีนที่ศูนย์ฉีดวัคซีนกลางบางซื่อจะมีความเป็นระเบียบเรียบร้อยมากขึ้น และไม่แออัดแบบนี้แน่นอน เพราะประชาชนที่จะเข้ารับบริการที่นี่ได้นั้น จะต้องลงทะเบียนผ่านค่ายโทรศัพท์มือถือเท่านั้น

ด้านนายสรพงศ์ ไพฑูรย์พงศ์ รองปลัดกระทรวงคมนาคม กล่าวว่า ได้เปิดประตูให้ประชาชนได้เข้ามานั่งรอภายในศูนย์ฉีดฯ ตั้งแต่ 06.30 น. ยอมรับว่าวันนี้มีประชาชนมาเข้ารับบริการฉีดวัคซีนจำนวนมาก เนื่องจากกลัวว่าจะไม่ได้ฉีดวัคซีน และหลังจากนี้ไม่รู้ว่านโยบายจะเป็นอย่างไรต่อไป โดยช่วงเช้าประมาณ 12,000 คน จากการสอบถามส่วนใหญ่มาจากต่างจังหวัด โดยองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) เป็นผู้นำคณะเดินทางมาโดยรถบัสคณะใหญ่ อาทิ จากจังหวัดกาญจนบุรี, นครปฐม และราชบุรี ทำให้พื้นที่ด้านนอกค่อนข้างแออัด ซึ่งแม้จะเพิ่มเก้าอี้พักคอยเดิม 1,000 ตัวเป็น 1,600 ตัว ก็ยังไม่เพียงพอ ขณะเดียวกันก็ได้พยายามให้คนมารอเว้นระยะห่าง โดยจุดยืนที่ติดสติกเกอร์เว้นระยะห่าง 2,400 จุด ก็เต็มทั้งหมด ทั้งนี้สามารถเคลียร์คิวได้หมดช่วงประมาณ 15.00 น.

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 30 ก.ค.ที่ผ่านมา มีประชาชนจากต่างจังหวัดเข้ามารับบริการฉีดวัคซีนที่ศูนย์ฉีดวัคซีนกลางบางซื่อเป็นจำนวนมาก รวม 26,422 คน โดย จ.นครปฐม ประชาชนมาเข้ารับบริการมากที่สุด 6,246 คน รองลงมา จ.ราชบุรี 4,690 คน, กาญจนบุรี 4,286 คน, กรุงเทพฯ 2,780 คน, พระนครศรีอยุธยา 2,145 คน, สุพรรณบุรี 1,995 คน, นนทบุรี 1,662 คน, ลพบุรี 1,410 คน และสระบุรี 1,208 คน.