เมื่อวันที่ 4 ก.ค. ที่อาคารธานีนพรัตน์ ศาลาว่าการ กทม.2 ดินแดง นายจักกพันธุ์ ผิวงาม รอง ผู้ว่าฯ กทม. กล่าวภายหลังเป็นประธานการประชุมคณะผู้บริหาร กทม. ถึงเรื่องผลกระทบจากกฎหมายกัญชาเสรี และการขับเคลื่อนเพื่อปกป้องเด็กและเยาวชนจากกัญชาว่า ได้กำชับให้ทุกฝ่ายต้องปฏิบัติให้ถูกกฎหมาย ส่วน กทม. จะดำเนินการตาม พ.ร.บ.รักษาความสะอาดและความเป็นระเบียบเรียบร้อยของบ้านเมือง พ.ศ.2535 เป็นหลัก

กรณีในที่สาธารณะ ผู้ค้าขายหาบเร่แผงลอยที่จะขายสินค้าจะต้องเป็นผู้ที่ลงทะเบียนกับสำนักงานเขต และต้องขายตามประเภทที่ขึ้นทะเบียนไว้ ไม่สามารถเปลี่ยนประเภทสินค้าได้ หากจะขายอย่างอื่นต้องไปขออนุญาตกับคณะกรรมการของเขตก่อน และแม้ว่าปัจจุบันพบว่ามีการขายกัญชา กัญชง หรือใบกระท่อม รวมถึงอาหารและเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของกัญชา กัญชง ใบกระท่อม จึงถือว่าผิดกฎหมายทั้งหมด เพราะไม่สามารถขายได้ในที่สาธารณะ อีกทั้งยังไม่มีผู้ค้าขึ้นทะเบียนขอขายสินค้าประเภทดังกล่าว

ดังนั้นจึงได้สั่งการเทศกิจทั้ง 50 เขต ลงไปตรวจตราดู โดยเฉพาะเน้นย้ำรอบบริเวณโรงเรียนต้องไม่มีการขายกัญชาหรืออาหารที่มีส่วนผสมกัญชา เพราะเป็นนโยบายผู้ว่าฯ ชัชชาติ ที่ให้ความสำคัญกับเด็กนักเรียนและเยาวชนไม่ให้เกี่ยวข้อง

ทั้งนี้จากรายงานตัวเลขจำนวนผู้ป่วยจากกัญชา สำนักอนามัย กทม. รายงานว่า ตั้งแต่ 9 มิ.ย.-1 ก.ค. ที่ผ่านมา มีผู้ป่วย อายุ 14-20 ปี รวมจำนวน 27 ราย โดยเป็นกลุ่มอายุ 19-20 ปี มากถึง 14 ราย ซึ่งเป็นช่วงอายุที่กฎหมายกำหนดห้ามจำหน่ายให้กับประชาชนที่อายุต่ำกว่า 20 ปี

ส่วนกรณีผู้ประกอบการถนนข้าวสารเสนอให้ “ถนนข้าวสาร” เป็นศูนย์กลางกัญชา (HUB กัญชา) นั้น นายจักกพันธุ์ กล่าวว่า แนวโน้มไม่น่าจะเป็นไปได้ เนื่องจากถนนข้าวสารตั้งอยู่ใกล้กับทั้งโรงเรียนและวัด ในเรื่องนี้ต้องเป็นหน้าที่ของกระทรวงสาธารณสุขที่จะเป็นผู้กำหนดหลักเกณฑ์ อีกทั้งการที่จะขายกัญชาเสรี จะต้องมีการควบคุมปริมาณเพื่อไม่ให้เกินเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด ซึ่งจะต้องมีจัดหาเครื่องวัดด้วย.