เมื่อวันที่ 4 ส.ค. พ.ต.อ.ธวัชชัย พงษ์วิวัฒนชัย รอง ผบก.สส.ภ.5 พร้อมเจ้าหน้าที่ ทำการจับกุมตัวนาย มิแทช กัฟไวด์ วาร์ซานิ อายุ 38 ปี สัญชาติอังกฤษ และนางสาวสิริพร สุนทรจามร อายุ 32 ปี พร้อมของกลางยาอีจำนวน 3 เม็ด กัญชา น้ำหนักรวม 86.2 กรัม โคเคน 55.4 กรัม รถเก๋งโตโยต้าโคโรลล่า อัลติส สีเทา ทะเบียน งร 9280 เชียงใหม่ รถตู้สีขาว ยี่ห้อ โตโยต้า ทะเบียน ฮก 1431 กรุงเทพมหานคร สมุดบัญชีธนาคารอีกกว่า 20 เล่ม มีเงินหมุนเวียนจำนวนมาก ก่อนแจ้งข้อหามียาเสพติดให้โทษอยู่ในครอบครองเพื่อจำหน่าย
สำหรับการจับกุมครั้งนี้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดสืบสวนภาค 5 ได้รับการร้องเรียนว่ามีชายชาวต่างชาติ พร้อมแฟนสาวที่เป็นดีเจ สถานบันเทิงชื่อดัง มีพฤติกรรม เปิดกลุ่มไลน์ ลักลอบจำหน่ายโคเคน ยาอี และกัญชา ให้กับกลุ่มนักเที่ยวไฮโซ หรือกลุ่มคนมีเงินในจังหวัดเชียงใหม่ ที่มักนิยมชมชอบการจัดปาร์ตี้เสพยา ทางเจ้าหน้าที่จึงเฝ้าติดตามพฤติกรรมของกลุ่มดังกล่าว ก็พบว่าทั้ง 2 คนอาศัยอยู่ด้วยกันที่หมู่บ้านสุดหรูแห่งหนึ่งในพื้นที่ ต.สันปูเลย อ.ดอยสะเก็ด จ.เชียงใหม่ จึงส่งสายเข้ากลุ่มอ้างว่าจะจัดปาร์ตี้ เพื่อขอติดต่อซื้อโคเคนและยาอีจากนางสาวสิริพร โดยได้ตกลงซื้อโคเคน จำนวน 2 ถุง ในราคา 8,000 บาท และยาอี จำนวน 3 เม็ด ราคา 3,000 บาท ซึ่งทางตำรวจได้โอนเงินไปให้ตามตกลง โดยผู้ต้องหาทั้งสองคนหลงกล นำยามาส่งให้ที่โรงแรมแห่งหนึ่งในตัวเมืองเชียงใหม่ พอถึงเวลานัดหมายนายมิแทช กัฟไวด์ ก็ขับรถตู้นำยามาส่งให้ ทางเจ้าหน้าที่จึงแสดงตัวเข้าทำการจับกุมได้พร้อมของกลาง ก่อนนำตัวไปค้นที่บ้านของทั้งสองคนและจับกุมตัวนางสาวสิริพร ได้พร้อมของกลางอื่นๆอีกจำนวนมาก
จากการสอบสวนผู้ต้องหาให้การรับสารภาพว่านายมิแทช นั้นเป็นเจ้าของบริษัทรับติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์นำเข้าจากต่างประเทศ และมาพบรักกับนางสาวสิริพร ที่เป็นดีเจ สถานบันเทิงชื่อดัง โดยนายมิแทช ชอบการเสพกัญชาเป็นชีวิตจิตใจ ส่วนยาชนิดโคเคนนั้นเห็นว่าตลาดนักปาร์ตี้กลางคืนต้องการมากและประเทศไทยไม่มีขาย จึงสั่งตรงมาจากทวีปยุโรป นำเข้ามาโดยจ่ายเงินโดยบิตคอยน์ โดยผ่านการชอปปิงออนไลน์ ผ่านในนามบริษัท โดยนำเข้ามาจัดจำหน่ายให้กลุ่มคนอายุ 30 ปีขึ้นไป ไม่จำหน่ายให้กับเด็ก ทำมานานเกือบปีแล้ว มีรายได้เข้ามามากมาย และสาเหตุที่ทำเพราะอยากทำแบบตำนานชาวอังกฤษ อย่างโรบินฮู้ด ตนขายยาได้เงิน ก็นำเงินไปช่วยเหลือซื้อของแจกเด็ก ชาวบ้าน ที่ได้รับผลกระทบจากไวรัสโควิด-19 ซึ่งที่ผ่านมาซื้อของแจกให้กับกลุ่มผู้ได้รับผลกระทบไปมากกว่า 1 ล้านบาทแล้ว ซึ่งตนเองคิดว่าสิ่งที่ตนทำถูกต้อง เป็นสิ่งที่ดีแล้ว ซึ่งเจ้าหน้าที่จะได้นำตัวไปดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป