จากกรณีเหตุการณ์เพลิงไหม้ผับดังเมืองสัตหีบ “เมาท์เทนบี” ริมถนนสายสุขุมวิท บางนา-ตราด หมู่ 7 ต.พลูตาหลวง อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี ขณะที่มีนักท่องเที่ยวราตรีกำลังใช้บริการ 100 กว่าชีวิต โดยต้นเพลิงเริ่มไหม้บริเวณหลังคาก่อนจะลุกลามอย่างรวดเร็วไปทั่วบริเวณ เนื่องจากตัวหลังคามีการฉีดพ่นโฟม สำหรับซับเสียง ซึ่งเป็นวัตถุติดไฟได้ง่าย ประกอบกับช่องระบายอากาศและทางออกด้านหน้าเปิดอยู่เพียงประตูเดียว ด้วยมีการคัดกรองนักเที่ยวตามมาตรการโควิด-19 ส่งผลให้นักท่องเที่ยวไม่สามารถออกมาได้ทัน อีกทั้งยังมีกลุ่มควันไฟอย่างรุนแรง เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 13 ราย บาดเจ็บ 36 ราย

เมื่อวันที่ 5 ส.ค. นายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ อดีตนักการเมือง ชื่อดัง ได้โพสต์ข้อความระบุว่า ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย “ซานติก้าผับ” เมื่อคืนเกิดเหตุสลด ไฟไหม้ผับ Mountain B ที่สัตหีบ ชลบุรี มีผู้เสียชีวิตแล้ว 13 ราย ผู้บาดเจ็บอีกจำนวนมาก ขอแสดงความเสียใจกับครอบครัวของผู้เสียชีวิตทุกท่านครับ

ว่าแล้วสักวันประวัติศาสตร์ต้องซ้ำรอย “ซานติก้าผับ” เมื่อ 10 กว่าปีก่อน ไฟไหม้ในคืนปีใหม่ตายเจ็บร่วมร้อย วันนี้กลับมาเกิดเรื่องอีกด้วยเหตุเดิมๆ คือ นึกอยากเปิดผับก็เปิด ไม่อยากจะซ้ำเติม แต่ขั้นตอนป้องกันต้องมี

1. ทางเข้าออก ทางหนีไฟ ต้องมีหลายทาง

2. ได้รับอนุญาตก่อสร้าง ดัดแปลง จากเจ้าหน้าที่ท้องถิ่น

3. ต้องจำกัดจำนวนคนเข้าตามขนาดพื้นที่ที่รับไหว หากคนเกินก็ไม่ให้เข้า จนกว่าจะมีคนออก

ขั้นตอนง่ายๆ ไม่ทำ ปล่อยปละละเลย ข้างในนอกจากมืดแล้วยังเสียงดัง มีทุกจังหวัดทั่วประเทศไทย

ชักสงสัยเหมือนกันว่าใน กทม. บรรดาผับดังของทุนจีนทั้ง เอกมัย ทองหล่อ อาร์ซีเอ มีทางออกกี่ทาง มีใบอนุญาตก่อสร้าง ใบอนุญาตผับ-บาร์ ถูกต้องไหม?

อยากให้ กทม. ยุคของท่านชัชชาติวิ่งไปดูหน่อยครับ ผับซานติก้าเมื่อ 10 กว่าปีก่อนยังหลอกหลอนไม่หาย

คนเข้าเป็นพัน แต่มีทางออกทางเดียว เพราะไม่ได้ขอเป็นผับแต่ต้น

ไหนจะใบอนุญาตตำรวจ คงให้เป็นแค่ร้านอาหาร แต่เปิดกันมั่วเนียนๆ เป็นผับทุกที่

คงไม่ต้องร้อง Traffy Fondue เพราะตอนนี้ กทม. เฉพาะตอบข้อร้องเรียน ก็ไม่เป็นอันทำอะไรแล้ว